à¸à¸·à¹à¸à¸à¸à¸à¸§à¸²à¸¡ à¸à¸²à¸£à¹à¸à¹à¸à¸£à¸°à¹à¸¢à¸à¸à¹à¸à¸²à¸à¸à¸à¸à¹à¸à¹à¸¥à¸¢à¸µà¹à¸à¸à¸²à¸à¸
à¸à¸·à¹à¸à¸à¸à¸à¸§à¸²à¸¡ à¸à¸²à¸£à¹à¸à¹à¸à¸£à¸°à¹à¸¢à¸à¸à¹à¸à¸²à¸à¸à¸à¸à¹à¸à¹à¸¥à¸¢à¸µà¹à¸à¸à¸²à¸à¸
à¸à¸·à¹à¸à¸à¸à¸à¸§à¸²à¸¡ à¸à¸²à¸£à¹à¸à¹à¸à¸£à¸°à¹à¸¢à¸à¸à¹à¸à¸²à¸à¸à¸à¸à¹à¸à¹à¸¥à¸¢à¸µà¹à¸à¸à¸²à¸à¸
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
หน้าที่ 24<br />
ผลที่ได้จากการคัดลอก (Coding) สรุปความ (Summarizing) และการถ่ายความ (Paraphrasing)<br />
สมชาย (2548) กล่าวถึงออนโทโลยีไว้ว่า “เป็นศาสตร์ที่เกิดขึ้นในสมัยกรีก-โรมันโบราณ โดยนักปราชญ์<br />
อริสโตเติล ผู้สร้างต้นไม้แห่งพอร์ฟิรี (Porphyry) ซึ่งมีลักษณะเป็นไฮรากีทรี (Hierarchy tree) เพื่อใช้จ าแนก<br />
ประเภทของสิ่งต่างๆ Sowa (2000) อธิบายค าว่า “ออนโทโลยี” ว่าเป็นค าทับเสียง ontology ใน<br />
ภาษาอังกฤษซึ่งมาจากภาษากรีก (Greek) ว่า “ontos” แปลว่า การมีอยู่ และ “logos” แปลว่า ค า (word)<br />
มาลี, ล าปาง & ครรชิต (2549) กล่าวถึง “ออนโทโลยี” หรือเรียกว่า “ภววิทยา (ontology)” ไวว่าเป็น<br />
สาขาวิชาของอภิปรัชญาที่ว่าด้วยเรื่องของธรรมชาติและความสัมพันธ์ที่มีอยู่ “ออนโทโลยี น ามาใช้เป็นครั้ง<br />
แรกในสาขาปัญญาประดิษฐ์ เมื่อ ปี ค.ศ.1980 ในสาขาบรรณรักษศาสตร์ ค าว่า “ออนโทโลยี (ontology)” ถูก<br />
ให้อธิบายด้วยค าศัพท์แตกต่างกันไป อาทิ อภิธานศัพท์ (Glossary) และพจนานุกรม (Data Dictionaries) ธี<br />
ซอรัสและแทกโซโนมี (Thesauri & Taxonomies) แบบแผนเค้าร่าง (Schemas) แบบจ าลองข้อมูล (Data<br />
Model) แบบจ าลองขอบเขตความรู้ (Domain Model) ออนโทโลยีที่เป็นแบบแผน (Formal Ontology) และ<br />
การอนุมาน (Inference) เป็นต้น”<br />
กล่าวโดยสรุป “ออนโทโลยี” หมายถึง แนวคิดที่ใช้ก าหนดความหมายที่เป็นทางการของค าศัพท์ พร้อม<br />
ทั้งประกาศคุณลักษณะที่ชัดแจ้งเพื่อน ามาใช้ในการอธิบายความเป็นตัวแทนของแนวคิด (Concepts) หรือ<br />
แบบจ าลอง (Model) ของกลุ่มชุมชนสารสนเทศที่ใช้ร่วมกัน (Information Communities) ซึ่งโครงสร้าง<br />
ความสัมพันธ์ดังกล่าว เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสามารถเข้าใจและแปลความได้โดยใช้คลาส (Class)<br />
ความสัมพันธ์ระหว่างคลาส หมายรวมถึงล าดับชั้นของคลาสและคุณสมบัติ (Properties) ของคลาส ความรู้ที่<br />
ได้จากออนโทโลยีมีขอบเขตอยู่เฉพาะทาง (Domain) ซึ่งช่วยสนับสนุนกระบวนการค้นคืนสารสนเทศ<br />
(Information Retrieval) ในแง่ของการตัดทอนค าศัพท์ที่สับสน หรือ บรรยายเชิงความหมายจากหลาย<br />
แนวคิด (Concepts) ให้สอดคล้องกันภายใต้แนวคิด (Concept) เพียงหนึ่งเดียว ทั้งยั งมีบทบาทส าคัญต่อ<br />
การพัฒนาระบบความรู้ (Knowledge Based Systems) ในแง่ของการน ากลับมาใช้ใหม่ (Reusable) และ<br />
เพิ่มเติมองค์ประกอบได้ภายหลัง ส่วนภาษาที่ใช้ในออนโทโลยีเพื่อบรรยายข้อมูลเชิงความหมาย ได้แก่<br />
XML (Extensible Markup Language) RDF (Resource Description Framework) และ OWL (Web<br />
Ontology Language) ในการพัฒนาออนโทโลยีแต่ละประเภทจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ขอบเขตของความรู้<br />
บริบทแวดล้อม และความพร้อมในการพัฒนา (สมชาย, 2548; มาลี, ล าปาง, & ครรชิต, 2549; วรลักษณ์,<br />
2551; วิชุดา ผุสดี และศจีมาจ , 2554; โรสริน และคณะ, 2554; Broughton, 2006; Dragan, Dragan and<br />
Vladan, 2006; Curras, 2010)