à¸à¸·à¹à¸à¸à¸à¸à¸§à¸²à¸¡ à¸à¸²à¸£à¹à¸à¹à¸à¸£à¸°à¹à¸¢à¸à¸à¹à¸à¸²à¸à¸à¸à¸à¹à¸à¹à¸¥à¸¢à¸µà¹à¸à¸à¸²à¸à¸
à¸à¸·à¹à¸à¸à¸à¸à¸§à¸²à¸¡ à¸à¸²à¸£à¹à¸à¹à¸à¸£à¸°à¹à¸¢à¸à¸à¹à¸à¸²à¸à¸à¸à¸à¹à¸à¹à¸¥à¸¢à¸µà¹à¸à¸à¸²à¸à¸
à¸à¸·à¹à¸à¸à¸à¸à¸§à¸²à¸¡ à¸à¸²à¸£à¹à¸à¹à¸à¸£à¸°à¹à¸¢à¸à¸à¹à¸à¸²à¸à¸à¸à¸à¹à¸à¹à¸¥à¸¢à¸µà¹à¸à¸à¸²à¸à¸
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
หน้าที่ 1<br />
ชื่อบทความ การใช้ประโยชน์จากออนโทโลยีในงานบริการสารสนเทศ<br />
(Using Ontology Tools for Information Services)<br />
ผู้เขียน นายโชคธ ารงค์ จงจอหอ<br />
กลุ่มเป้าหมาย 1) ผู้ให้บริการสารสนเทศ เช่น บรรณารักษ์ นักสารสนเทศ นักเอกสารสนเทศ เป็นต้น<br />
2) ผู้ใช้บริการสารสนเทศ เช่น อาจารย์ นักวิจัย นักศึกษา ป.โท-ป.เอก เป็นต้น<br />
วัตถุประสงค์ 1) ผู้อ่านได้รับความรู้ในการประเมินออนโทโลยี<br />
2) ผู้อ่านสามารถประยุกต์ใช้ออนโทโลยีในการบริการสารสนเทศและสืบค้นข้อมูลได้<br />
เค้าโครงของบทความ<br />
1) บทน า (ขึ้นต้นด้วยค านิยามศัพท์ของ “บริการสารสนเทศ” แล้วเชื่อมโยงเข้าสู่ “Thesis statement”)<br />
2) ความส าคัญของการประเมินออนโทโลยี<br />
2.1 แนวคิดเกี่ยวกับออนโทโลยี<br />
2.2 ความส าคัญของออนโทโลยี<br />
3) แนวทางในการประเมินออนโทโลยี (พิจารณาจาก)<br />
3.1 การประเมินตามแนวคิดของ Sure, Y. และคณะ (2004)<br />
- การท างานร่วมกัน (Interoperability) - ก าหนดทิศทางการสืบค้น (Navigability)<br />
- การรองรับการขยายตัว (Scalability) - ความสะดวกในการใช้งาน (Usability)<br />
3.2 การประเมินตามแนวคิดของ Brank, Grobelnik และ Mladenic (2005)<br />
ความหมายของค า (Lexical) ค าศัพท์ (vocabulary) หรือ ระดับของข้อมูล (data layer)<br />
ล าดับชั้น (Hierarchy) หรือ อนุกรมวิธาน ( taxonomy)<br />
ความสัมพันธ์เชิงความหมายในลักษณะอื่น ๆ (Other semantic relations)<br />
บริบท หรือ ระดับของโปรแกรมประยุกต์ (Context or application level)<br />
ระดับประโยค (Syntactic level)<br />
โครงสร้าง (Structure) สถาปัตยกรรม (architecture) และการออกแบบ (design)<br />
4) การประยุกค์ใช้ออนโทโลยีในงานบริการบริการสารสนเทศ<br />
4.1 บริการตอบค าถามและช่วยการค้นคว้า (Reference services)<br />
4.2 บริการสอนผู้ใช้ (Instruction service) และทักษะการรู้สารสนเทศ (Information literacy skill)<br />
4.3 บริการให้ค าแนะน าในการเลือกแหล่งสารสนเทศ (Referral services)<br />
4.4 บริการการค้นคืนสารสนเทศ (Information retrieval service)<br />
5) บทสรุป
หน้าที่ 2<br />
การใช้ประโยชน์จากออนโทโลยีในงานบริการสารสนเทศ<br />
Using Ontology Tools for Information Services<br />
โชคธ ารงค์ จงจอหอ 1<br />
Chokthumrong Chongchorhor<br />
บทคัดย่อ<br />
บทความนี้กล่าวถึงปรากฏการณ์ที่ผู้ใช้บริการสารสนเทศต้องเผชิญกับออนโทโลยีจ านวนมาก ซึ่งถูก<br />
พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ประมวลผลแนวคิดและความสัมพันธ์ขององค์ความรู้ในขอบเขตที่เฉพาะเจาะจง จากนั้นได้<br />
น าเสนอเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินออนโทโลยี ซึ่งประกอบด้วย การวิเคราะห์ปัจจัยและระดับของการประเมิน<br />
ส่วนสุดท้ายน าเสนอแนวทางที่ผู้ให้บริการสารสนเทศ เช่น บรรณารักษ์ และนักสารสนเทศ สามารถใช้<br />
ประโยชน์จากออนโทโลยีเป็นเครื่องมือในการเพิ่มคุณภาพของการให้บริการ ข้อเสนอดังกล่าวเป็นประโยชน์<br />
ต่อผู้รับผิดชอบในการขับเคลื่อนบริการสารสนเทศ ทั้งในแง่บริการตอบค าถามและช่วยการค้นคว้า บริการ<br />
สอนผู้ใช้และอบรมทักษะการรู้สารสนเทศแก่ บริการให้ค าแนะน าในการเลือกแหล่งสารสนเทศ และบริการ<br />
การค้นคืนสารสนเทศ<br />
Abstract<br />
This article describes how users of information services can work with ontologies that have<br />
been developed for processing the concepts and relationships within the body of knowledge of any<br />
specific domain. It presents a method for evaluating these ontologies, and shows the factors and<br />
levels of evaluation that may be relevant. It also shows how information service providers such as<br />
librarians and information professionals can improve the quality of their services by using ontology<br />
tools. These findings may be useful to people in such diverse information service roles as<br />
instructional services, literacy training, reference services, referral services, and retrieval services.<br />
ค าส าคัญ:<br />
Keywords:<br />
การประเมินออนโทโลยี, บริการสารสนเทศ,<br />
ontology evaluation, Information services,<br />
1 นักศึกษาปริญญาเอก หลักสูตร ปร.ด. (สารสนเทศศึกษา) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
หน้าที่ 3<br />
บทน า<br />
บริการสารสนเทศ (Information services) เป็นบริการหลักของห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษา และ<br />
สถาบันบริการสารสนเทศ ประกอบด้วย บริการจัดท าดรรชนีและสาระสังเขป บริการข่าวสารทันสมัย บริการ<br />
ตอบค าถามและช่วยการค้นคว้า บริการการสอนทักษะการรู้ สารสนเทศ บริการการชี้แนะแหล่งสารสนเทศ<br />
และบริการค้นคืนสารสนเทศ บริการเหล่านี้ก าหนดขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใช้บริการให้สามารถค้นหา<br />
ข้อมูล ข้อเท็จจริง หรือค าตอบในเรื่องใดๆ ซึ่งถูกบันทึกไว้ในสื่อรูปแบบต่างๆ ตามที่ต้องการได้อย่างสะดวก<br />
รวดเร็วและละเอียดลึกซึ้ง โดยมีบรรณารักษ์เป็นผู้ช่วยเหลือที่เข้าใจ ท าหน้าที่บริการผู้ใช้ในการค้นหา<br />
สารสนเทศ หรือ ให้ค าแนะน าในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสารสนเทศ และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ อย่าง<br />
คุ้มค่ามากที่สุด ทั้งยังช่วยสอนทักษะการรู้สารสนเทศ หรือให้ค าแนะน าแก่ผู้ใช้ในการเลือกแหล่งสารส นเทศ<br />
ที่เหมาะสม (น้ าทิพย์ วิภาวิน , 2546; มาลี ล้ าสกุล , 2549; มาลี กาบมาลา , 2553; อิศราวดี ทองอิ นทร์,<br />
2553) แต่เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICTs) เข้ามามีบทบาทในห้องสมุด บรรณารักษ์จึงต้อง<br />
เพิ่มพูนทักษะด้านเทคโนโลยี เพื่อช่วยผู้ใช้ให้ได้รับบริการสารสนเ ทศตรงตามความต้องการอย่างสะดวกและ<br />
รวดเร็วยิ่งขึ้น (รวีวรรณ ข าพล และนริศรา เฮมเบีย, 2551)<br />
อย่างไรก็ตาม ความสนใจของนักวิชาการในการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ ได้เคลื่อนตัวจาก<br />
"การประมวลผลข้อมูล (data processing)" ไปสู่ "การประมวลผลในระดับแนวคิด (concept processing)"<br />
กล่าวคือ นักวิชาการหันมาให้ความสนใจในแนวคิดเชิงความหมายที่มุ่งตีความ และท าความเข้าใจต่อการ<br />
ด ารงอยู่ของความรู้ในบริบทที่แตกต่างกัน โดยพัฒนาเครื่องมือเชิงโครงสร้างเพื่อดักจับความรู้ และอธิบาย<br />
ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ที่เรียกว่า “ออนโทโลยี (ontology)” (Brank, Grobelnik & Mladenic, 2005)<br />
ในบทความนี้ผู้เขียนขอน าเสนอความรู้เกี่ยวกับการประเมินออนโทโลยี ประกอบด้วย ความส าคัญของการ<br />
ประเมินออนโทโลยี แนวทางในการประเมินออนโทโลยี และการใช้ออนโทโลยีในงานบริการสารสนเทศ ดังนี้<br />
1. ความส าคัญของการประเมินออนโทโลยี<br />
สมชาย ปราการเจริญ (2548) กล่าวว่า “ออนโทโลยี เป็นศาสตร์ที่เกิดขึ้นในสมัยกรีก-โรมันโบราณ โดย<br />
นักปราชญ์อริสโตเติล ผู้สร้างต้นไม้แห่งพอร์ฟิรี (Porphyry) ซึ่งมีลักษณะเป็นไฮรากีทรี (Hierarchy tree)<br />
เพื่อใช้จ าแนกประเภทของสิ่งต่างๆ Sowa (2000) อธิบายค าว่า “ออนโทโลยี” ว่าเป็นค าทับเสียง ontology<br />
ในภาษาอังกฤษซึ่งมาจากภาษากรีก (Greek) ว่า “ontos” แปลว่า การมีอยู่ และ “logos” แปลว่า ค า (word)<br />
มาลี กาบมาลา ล าปาง แม่นมาตย์ และครรชิต มาลัยวงศ์ (2549) กล่าวถึง “ออนโทโลยี” หรือ “ภววิทยา<br />
(ontology)” ว่าเป็นสาขาวิชาของอภิปรัชญาที่ว่าด้วยเรื่องของธรรมชาติและความสัมพันธ์ที่มีอยู่ ออนโทโลยี<br />
น ามาใช้เป็นครั้งแรกในสาขาปัญญาประดิษฐ์ เมื่อ ปี ค.ศ.1980 ในสาขาบรรณรักษศาสตร์ ค าว่า “ออนโทโลยี<br />
(ontology)” ถูกให้อธิบายด้วยค าศัพท์แตกต่างกันไป อาทิ อภิธานศัพท์ (Glossary) พจนานุกรม (Data<br />
Dictionaries) ธีซอรัสและแทกโซโนมี (Thesauri & Taxonomies) แบบแผนเค้าร่าง (Schemas) เป็นต้น”
หน้าที่ 4<br />
ปรัชญา<br />
(Philosophy)<br />
ในส่วนของ (In)<br />
เกี่ยวกับภาวะการด ารงอยู่ (The being)<br />
และ (And)<br />
กระบวนการมองที่อยู่เหนือความเข้าใจ<br />
(Transcendental process)<br />
การตรวจสอบลักษณะการด ารงอยู่<br />
(Examines the nature of being)<br />
ออนโทโลยี<br />
(ONTOLOGY)<br />
อภิปรัชญา<br />
(Metaphysics)<br />
ศึกษาสิ่งที่ด ารงอยู่<br />
(The study of what exists)<br />
และ (And)<br />
ศึกษาสิ่งที่เราคาดคิดว่าจะด ารงอยู่<br />
(What we assume exists)<br />
เพื่อให้เข้าถึงความหมายที่ตรงกับความจริง<br />
(In order to achieve a coherent description of reality)<br />
ส าหรับผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์<br />
(For computer specialists)<br />
รูปที่ 1 แนวทางการศึกษาความจริงด้วยออนโทโลยี ปรับปรุงมาจาก Currás (2010)<br />
กล่าวโดยสรุป “ออนโทโลยี” หมายถึง แนวคิดที่ใช้ก าหนดความหมายที่เป็นทางการของค าศัพท์ พร้อม<br />
ทั้งประกาศคุณลักษณะที่ชัดแจ้งเพื่อน ามาใช้ในการอธิบายความเป็นตัวแทนของแนวคิด (Concepts) หรือ<br />
แบบจ าลอง (Model) ของกลุ่มชุมชนสารสนเทศที่ใช้ร่วมกัน (Information Communities) ซึ่งโครงสร้าง<br />
ความสัมพันธ์ดังกล่าว เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสามารถเข้าใจและแปลความได้ โดยใช้คลาส (Class)<br />
ความสัมพันธ์ระหว่างคลาส หมายรวมถึงล าดับชั้นของคลาสและคุณสมบัติ (Properties) ของคลาส ความรู้ที่<br />
ได้จากออนโทโลยีมีขอบเขตอยู่เฉพาะทาง (Domain) ซึ่งช่วยสนับสนุนกระบวนการค้นคืนสารสนเทศ<br />
(Information Retrieval) ในแง่ของการตัดทอนค าศัพท์ที่สับสน หรือ บรรยายเชิงความหมายจากหลาย<br />
แนวคิด (Concepts) ให้สอดคล้องกันภายใต้แนวคิด (Concept) เพียงหนึ่งเดียว ทั้งยังมีบทบาทส าคัญต่อ<br />
การพัฒนาระบบความรู้ (Knowledge Based Systems) ในแง่ของการน ากลับมาใช้ใหม่ (Reusable) และ<br />
เพิ่มเติมองค์ประกอบได้ภายหลัง ส่วนภาษาที่ใช้ในออนโทโลยีเพื่อบรรยายข้อมูลเชิงความหมาย ได้แก่<br />
XML (Extensible Markup Language) RDF (Resource Description Framework) และ OWL (Web<br />
Ontology Language) ในการพัฒนาออนโทโลยีแต่ละประเภทจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ขอบเขตของความรู้<br />
บริบทแวดล้อม และความพร้อมในการพัฒนา (สมชาย ปราการเจริญ , 2548; มาลี กาบมาลา ล าปาง แม่น<br />
มาตย์ และครรชิต มาลัยวงศ์ 2549; วรลักษณ์ วงศ์โดยหวัง ศิริเจริญ , 2551; วิชุดา โชติรัตน์ ผุสดี บุญรอด<br />
และศจีมาจ ณ วิเชียร , 2554; โรสริน อัคนิจ และคณะ, 2554; Broughton, 2006; Dragan, Dragan and<br />
Vladan, 2006; Currás, 2010)
หน้าที่ 5<br />
ความจริง (Reality)<br />
สารสนเทศ<br />
(Information)<br />
แนวคิด (Idea)<br />
ความคิด (Mind)<br />
ความรู้ (Knowledge)<br />
หน่วยการเรียนรู้ (Unit of learning)<br />
การจัดระบบ (Systematization)<br />
หมวดหมู่แห่งการเรียนรู้ (Division of learning)<br />
จัดล าดับ (Order) การจัดหมวดหมู่ความรู้<br />
(Classification of knowledge)<br />
ความเป็นตัวแทน (Representation)<br />
การจัดหมวดหมู่สากล (Universal classification)<br />
ภาษาเชิงเอกสาร (Documentary languages)<br />
การประมวลผลอัตโนมัติ ( FIELD OF COMPUTING)<br />
การยกระดับความหมายสู่นามธรรม (Ascension to a higher level of abstraction)<br />
การจัดความรู้ให้เป็นระบบ<br />
(Knowledge organization)<br />
ความคิดที่เปลี่ยนไป (Change of mentality)<br />
โครงสร้าง (Structure in)<br />
การจัดกลุ่มความหมาย<br />
(Semantic fields)<br />
ความคิดรวบยอด (Conceptual units)<br />
การเข้ารหัส (Codified)<br />
ออนโทโลยี / ภววิทยา (Ontologies)<br />
ศัพท์สัมพันธ์ (Thesauri)<br />
รูปที่ 2 ความสัมพันธ์ของออนโทโลยีกับการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ ปรับปรุงมาจาก Currás (2010)
หน้าที่ 6<br />
ตัวอย่างออนโทโลยี ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการสารสนเทศ บนโดเมนความรู้ในสาขาต่างๆ ของสังคมไทย<br />
เช่น ออนโทโลยีของพืชสมุนไพรไทย (สิริรัตน์ ประกฤติกรชัย, 2550) ออนโทโลยีเพื่อการจัดการความรู้ด้าน<br />
การแปรรูปข้าว (โรสริน อัคนิจอ และคณะ, 2554) ออนโทโลยีชีวภาพส าหรับสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูลทางชี<br />
วิทยา (เพ็ญพรรณ อัศวนพเกียรติ อรินทิพย์ ธรรมชัยพิเนต และกฤษณะ ไวยมัย, 2546) ออนโทโลยีส าหรับ<br />
สืบค้นองค์ความรู้ด้านทรัพยากรดิน (Heeptaisong and Srivihok, 2553) ออนโทโลยีส าหรับโดเมนห้องสมุด<br />
อิเล็กทรอนิกส์ (สีลตา วงศ์กาฬสินธุ์ และงามนิจ อาจอินทร์, 2552) ออนโทโลยีส าหรับระบบให้ค าแนะน าการ<br />
บริโภคอาหาร (นภัส สุขสม มารุต บูรณรัช และเทพชัย ทรัพย์นิธิ , 2551) ออนโทโลยีส าหรับวิเคราะห์ข่าว<br />
ออนไลน์ (วิชุดา โชติรัตน์ ผุสดี บุญรอด และศจีมาจ ณ วิเชียร , 2554) ออนโทโลยีในระบบบริหารลูกค้า<br />
สัมพันธ์ (นงเยาว์ พันธุ์คง และสมชาย ปราการเจริญ, 2553) ออนโทโลยีส าหรับกฎหมายไทย (Boonchom<br />
& Soonthornphisaj, 2009) ออนโทโลยีเพื่อสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานกล้วยไม้ (มารุต บูรณรัช และเทพชัย<br />
ทรัพย์นิธิ, 2553) เป็นต้น จะเห็นได้ว่าผู้ใช้บริการต้องเผชิญกับทางเลือกใหม่ๆ ในการใช้สารสนเทศผ่านออน<br />
โทโลยีเป็นจ านวนมาก ดังนั้น หากบรรณารักษ์มีความรู้ในการประเมินออนโทโลยี และแนะน าแก่ผู้ใช้บริการ<br />
ในฐานะแหล่งสารสนเทศเฉพาะทาง ย่อมเป็นการสร้างโอกาสในการใช้เครื่องมือเพื่อดักจับและเชื่อมร้อยองค์<br />
ความรู้ (body of knowledge) ที่แตกต่างหลากหลาย ได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และตรงกับความต้องการ<br />
2. แนวทางในการประเมินออนโทโลยี<br />
Sure และคณะ (2004) กล่าวถึงจุดเริ่มต้นในการประเมินออนโทโลยีว่าอยู่ที่การประเมินเนื้อหาในปี<br />
ค.ศ.1994 ซึ่งเป็นช่วงที่นักวิชาการในกลุ่มวิศวกรรมออนโทโลยี (ontological engineering) ได้ให้ความสนใจ<br />
ต่อปัญหาการเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็วในเนื้อหาของออนโทโลยี ซึ่งต้องการแนวทางประเมินเนื้อหา<br />
ที่รองรับการพัฒนาและปรับปรุงออนโทโลยีจ านวนมาก (ontologies) ในอนาคต<br />
การประเมินเนื้อหาดังกล่าว สามารถสรุปได้ 3 แนวคิด คือ (1) การประเมินเนื้อหาของออนโทโลยีที่<br />
ต้องด าเนินการตลอดทั้งวงจรชีวิตของการพัฒนาออนโทโลยี (ontology life cycle) (2) เครื่องมือประเมิน<br />
เนื้อหาควรสนับสนุนการประเมินในระหว่างกระบวนการพัฒนาออนโทโลยี (ontology-building process) (3)<br />
การประเมินเนื้อหาของออนโทโลยีต้องแสดงถึงสัมมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ระหว่างกระบวนทัศน์ทางภาษา<br />
(paradigm of language) กับความเป็นตัวแทนขององค์ความรู้ (Knowledge representative)<br />
แนวคิดส าคัญ 3 ประการข้างต้น ถือเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีต้นแบบเพื่อประเมินออน<br />
โทโลยี (Ontology technology evaluation's) ส าหรับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งการประเมิน (evaluate) และ<br />
เทียบเคียงสมรรถนะ (benchmark) ดังกล่าว ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเทคโนโลยีต้นแบบที่ใช้ประเมินออนโทโลยีมี<br />
ความสัมพันธ์กับปัจจัย 4 ประการ ดังนี้<br />
(1) ความสามารถในการท างานร่วมกัน (Interoperability) กล่าวคือ ปัญหาหนึ่งที่เกิดจากการใช้<br />
ออนโทโลยี คือ การให้ความหมายในโดเมนเดียวกันให้เข้าใจได้ตรงกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับการตกลงในเงื่อนไข
หน้าที่ 7<br />
ทางการสื่อสารระหว่างซอฟต์แวร์ การประเมิน จึงมุ่งพิจารณาการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างแอพพลิเคชั่นทั้ง<br />
ในระดับประโยค (syntactic level) และในระดับความหมาย (semantic level)<br />
(2) ความสามารถในการก าหนดทิศทาง (Navigability) วิเคราะห์จากความแตกต่างของแพลตฟอร์ม<br />
(platform) ที่น ามาใช้เป็นองค์ประกอบในการพัฒนาออนโทโลยี และประเมินระยะเวลาที่ระบบใช้ (required)<br />
ในการเปิดใช้งาน การบันทึก การสร้าง การปรับปรุง หรือ การลบองค์ประกอบต่างๆ ของออนโทโลยี และ<br />
พิจารณาการประมวลผลข้อค าถาม (queries) ด้วย<br />
(3) ความสามารถต่อการขยายตัว (Scalability) วิเคราะห์ได้จากเครื่องมือของออนโทโลยี (ontology<br />
tools) ที่ใช้ค้นหาองค์ประกอบต่างๆ ในออนโทโลยีขนาดใหญ่ เช่น ภาพกราฟิก ข้อความ ได้อย่างสะดวก<br />
และรวดเร็ว และรองรับการขยายตัวขององค์ประกอบอื่นๆ ด้วย<br />
(4) ความสะดวกในการใช้งาน (Usability) วิเคราะห์ได้จากความชัดเจนและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน<br />
ในส่วนติดต่อกับผู้ใช้ รวมไปถึงระยะเวลาที่ผู้ใช้เรียนรู้ระบบ ความเสถียรของระบบ และส่วนช่วยเหลืออื่นๆ<br />
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่ง ได้เสนอแนวคิดในการประเมินออนโทโลยีโดย พิจารณาจาก<br />
ระดับของการประเมิน (Level of evaluation) นั่นคือ Brank Grobelnik และ Mladenic (2005) ที่ได้จ าแนก<br />
ระดับในการประเมินออนโทโลยี ออกเป็น 6 ระดับ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้<br />
1) ประเมินระดับลักษณะของค า (Lexical) และค าศัพท์ (vocabulary) หรือระดับของข้อมูล (data<br />
layer) กล่าวคือ การประเมินได้ให้ความส าคัญกับแนวคิด (concepts) กรณีตัวอย่าง (instances) ข้อเท็จจริง<br />
(facts) และค าศัพท์ที่ใช้เป็นเป็นตัวแทนหรือให้ความหมายแก่แนวความคิดที่บรรจุอยู่ในออนโทโลยี การ<br />
ประเมินในระดับนี้เปรียบเทียบผลจากแหล่งที่มาของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันในขอบเขตความรู้ (domain) ของ<br />
ปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งประเมินรูปแบบเชิงเทคนิคของออนโทโลยี เช่น ค่ าสตริง (string) ความคล้ายคลึงกัน<br />
(similarity) และพิจารณาการแก้ไขค าศัพท์ (edit distance) เป็นต้น<br />
2) ประเมินระดับโครงสร้างข้อมูลแบบล าดับชั้น (Hierarchy) หรือแบบอนุกรมวิธาน (taxonomy)<br />
โดยทั่วไปออนโทโลยีจะประกอบด้วย ล าดับชั้นที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดด้ วยค าว่า "is-a" และ<br />
ความสัมพันธ์ด้วยค าในลักษณะอื่นๆ เช่น การประเมินค าที่มีความหมายคล้ายกัน (synonym) จะพิจารณา<br />
ความถูกต้องในการก าหนดความสัมพันธ์แบบ "is-a" เป็นล าดับแรก<br />
3) ประเมินจากความสัมพันธ์เชิงความหมายในลักษณะอื่นๆ (Other semantic relations)<br />
นอกเหนือจากการประเมินจากความสัมพันธ์แบบ “is-a” แล้ว ออนโทโลยีอาจมีความสัมพันธ์อื่นๆ ซึ่ง<br />
ความสัมพันธ์เหล่านี้สามารถประเมินได้จากการพิจารณาความแม่นย า (precision) และการเรียกคืน (recall)<br />
จากการสืบค้นของผู้ใช้บริการแต่ละครั้ง<br />
4) ประเมินระดับบริบท (Context) หรือ แอพพลิเคชั่น (application) กล่าวคือ ออนโทโลยีอาจเป็น<br />
ส่วนหนึ่งของแหล่งทรัพยากรสารสนเทศขนาดใหญ่ซึ่งรวมเอาออนโทโลยีจ านวนมากไว้ด้วยกัน และในการ<br />
สืบค้าข้อมูลอาจต้องอ้างอิงค าจ ากัดความเดียวกันจากออนโทโลยีหลายๆ ชุด ในกรณีนี้จึงจ าเป็นที่จะต้องเข้า
หน้าที่ 8<br />
ไปประเมินในระดับบริบท และแอพ พลิเคชั่น (application) ซึ่งการประเมินจะพิจารณาจากผลกระทบที่เกิด<br />
กับโปรแกรมประยุกต์ เมื่อผู้ใช้บริการด าเนินการสืบค้นข้อมูลบนออนโทโลยีด้วยแอพพลิเคชั่นดังกล่าว<br />
5) ประเมินในระดับประโยค (Syntactic) การประเมินในระดับน้ าด้รับความสนใจจากออนโทโลยี<br />
เป็นจ านวนมาก (ontologies) โดยเฉพาะออนโทโลยีที่ได้พัฒนาโครงสร้างขึ้นด้วยตนเอง (constructed<br />
manually) โดยปกติออนโทโลยีถูกอธิบายด้วยภาษาที่เป็นทางการ และให้ประโยคที่ตรงกับหลักไวยากรณ์<br />
พื้นฐานของภาษาเหล่านั้น เกณฑ์ที่ใช้ประเมิน อาทิ การน าเสนอเอกสารด้วยภาษาธรรมชาติ การหลีกเลี่ยง<br />
การซ้ าซ้อนกัน (loops) ระหว่างค านิยาม เป็นต้น<br />
6) ประเมินในระดับโครงสร้าง สถาปัตยกรรม และการออกแบบ (Structure Architecture and<br />
Design) เนื่องจากการพัฒนาออนโทโลยีต้องท าให้เป็นไปตามข้อก าหนดเชิงโครงสร้าง สถาปัตยกรรม และ<br />
มาตรฐานในการออกแบบที่มีไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว การประเมินในระดับนี้จะท า ให้ได้ ออนโทโลยี ที่มีความ<br />
เหมาะสม และสามารถรองรับการปรับปรุงในอนาคตอย่างยั่งยืน<br />
ตารางที่ 1 แนวทางในการประเมินออนโทโลยี (An overview of approach to ontology evaluation)<br />
ระดับของการประเมิน<br />
(Level of evaluation)<br />
โดยมาตรฐานที่ดี<br />
(Golden standard)<br />
แนวทางที่ใช้ในการประเมิน (Approach of evaluation)<br />
โดยแอพพลิเคชั่น<br />
(Application-based)<br />
โดยข้อมูล<br />
(Data-driven)<br />
โดยมนุษย์<br />
(Humans)<br />
ลักษณะของค า (Lexical) ค าศัพท์<br />
(vocabulary) ระดับข้อมูล (data layer)<br />
√ √ √ √<br />
โครงสร้างแบบล าดับชั้น (Hierarchy)<br />
โครงสร้างแบบอนุกรมวิธาน (taxonomy)<br />
√ √ √ √<br />
ความสัมพันธ์เชิงความหมายอื่นๆ<br />
(Other semantic relations)<br />
√ √ √ √<br />
บริบท (Context) หรือ<br />
แอพพลิเคชั่น (application)<br />
√<br />
√<br />
รูปแบบประโยค (Syntactic) √ √<br />
โครงสร้าง (Structure) สถาปัตยกรรม<br />
(architecture) และการออกแบบ (design)<br />
√<br />
* ปรับปรุงมาจาก Brank, J., Grobelnik, M. and Mladenic, D. (2005)<br />
นอกจากนี้ Brank, Grobelnik และ Mladenic (2005) ได้แบ่งแนวคิดในการประเมินออนโทโลยี<br />
ออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่<br />
(1) การประเมินผลด้วยการเปรียบเทียบมาตรฐานออนโทโลยีที่ดี (golden standard) กับออนโทโลยี<br />
ที่พัฒนาขึ้น กล่าวคือ การประเมินจะท าการเปรียบเทียบการให้ความหมายของรูปแบบไวยากรณ์ (syntax)
หน้าที่ 9<br />
ในออนโทโลยี กับการให้ความหมายเฉพาะตามรูปแบบไวยากรณ์ในภาษาทางการ (syntax specification of<br />
formal language) ที่ออนโทโลยีท าการเขียน เช่น ภาษา RDF และ ภาษา OWL เป็นต้น<br />
(2) การประเมินลักษณะการใช้งานออนโทโลยีบนแอพพลิเคชั่นต่างๆ พิจารณาจากผลลัพธ์ที่ได้จาก<br />
ออนโทโลยีซึ่งท างานบนแอพพลิเคชั่นเหล่านั้น<br />
(3) การประเมินโดยเปรียบเทียบที่มาของแหล่งข้อมูล เช่น พิจารณาการจัดเก็บเอกสาร (collection<br />
of documents) หรือ ขอบเขตความรู้ที่อยู่ในออนโทโลยี (domain to be covered by the ontology)<br />
(4) การประเมินโดยมนุษย์ (Assessment by humans) ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในโดเมนเฉพาะเป็นผู้<br />
ก าหนดหลักเกณฑ์ มาตรฐาน และระบุความต้องการเชิงระบบในออนโทโลยีไว้ล่วงหน้า<br />
3. การประยุกต์ใช้ในงานบริการสารสนเทศ<br />
“ออนโทโลยี (ontology)” จัดเป็นทรัพยากรอิเล็กทรอนิกส์ (electronic material) ที่ผ่านการ<br />
สังเคราะห์และก าหนดรายละเอียดของค าค้นสารสนเทศ (description & synthesis) เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผู้<br />
ให้บริการสารสนเทศสามารถประยุกต์ใช้กับการบริการในห้องสมุดได้ดังนี้<br />
3.1 บริการตอบค าถามและช่วยการค้นคว้า (Reference services) แบ่งเป็น การให้บริการตอบ<br />
ค าถามและช่วยการค้นคว้าโดยตรง (direct service) ซึ่งบรรณารักษ์สามารถสาธิตวิธีการสืบค้นสารสนเทศ<br />
ด้วยการใช้ออนโทโลี (ontology) ให้แก่ผู้ใช้ได้ดูเป็นตัวอย่างตามประเด็นค าถามที่ตั้งขึ้น ยก ตัวอย่างในการ<br />
สืบค้นด้วยค าว่า “อุทกภัย (flood)” เมื่อป้อนข้อมูลลงในออนโทโลยี ระบบจะให้รายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง<br />
กับอุทกภัย ทั้งความหมายโดยสังเขป และค าศัพท์ที่ อยู่ในขอบเขตความรู้เดียวดัน ได้แก่ ความแห้งแล้ง<br />
แผ่นดินไหว ซึนามิ พายุ ดินถล่ม เขื่อน เป็ นต้น ซึ่งระบบออนโทโลยีจะแสดงความสัมพันธ์ของค าศัพท์<br />
เหล่านั้น พร้อมทั้งจัดแบ่งระดับของค าศัพท์แต่ละตัวที่เชื่อมโยงกับค าหลักซึ่งเราป้อนไปก่อนหน้า<br />
ส าหรับการให้บริการตอบค าถามและช่วยการค้นคว้าโดยทางอ้อม (indirect service) จะเกิดขึ้น<br />
ภายหลังจากที่บรรณารักษ์ได้ทดลองใช้ออนโทโลยี และประเมินความถูกต้องเหมาะสมต่างๆ เรียบร้อยแล้ว<br />
โดยบรรณารักษ์อาจจัดหมวดหมู่ของเว็บไซต์ที่ให้บริการออนโทโลยี เพื่อให้สามารถน ามาจัดบริการได้ตรง<br />
กับประเด็นเฉพาะทางต่างๆ ที่ผู้ใช้บริการร้องขอ รวมทั้งเชิญผู้รู้ที่อยู่ในหน่วยงานหรือองค์กรเดียวกัน ซี่งมี<br />
ความเชี่ยวชาญในศาสตร์แขนงเดียวกันกับเว็บบริการออนโทโลยีที่ท าการประเมิน เข้ามามีส่วนร่วมในการ<br />
ถ่ายทอดความรู้ หรือ สร้างสรรค์บทเรียนแนะน าประโยชน์และวิธีการสืบค้นเพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถอ้างอิง<br />
หรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้ที่ใช้ออนโทโลยีในศาสตร์แขนงนั้นได้ในอนาคต<br />
3.2 บริการสอนผู้ใช้ (Instruction service) และอบรมทักษะการรู้สารสนเทศ (Information literacy<br />
skill) โดยปกติบรรณารักษ์ได้จัดบริการให้ความรู้และแนะน าทรัพยากรสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ที่มีใน<br />
ห้องสมุด โดยการประชาสัมพันธ์หลักสูตรฝึกอบรมต่างๆ เป็นประจ าแล้ วอยู่ และในการน าออนโทโลยีเข้าไป<br />
บรรจุอยู่ในโปรแกรมฝึกอบรมดังกล่าวก็สามารถน าไปบูรณาการได้ 2 แนวทาง ประการแรก คือ การพัฒนา<br />
หลักสูตรฝึกอบรมด้านการใช้ออนโทโลยีที่จ าแนกตามโดเมนเฉพาะทาง ซึ่งผู้ใช้บริการมักประสบปัญหาใน
หน้าที่ 10<br />
การสืบค้น หรือ มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนต่อความสัมพันธ์ของค าศัพท์และระดับของความหมาย ส่วน<br />
การบูรณาการในล าดับถัดมา คือ การแนะน าวิธีการวิเคราะห์และสังเคราะห์ความหมายที่บรรณารักษ์ใช้เป็น<br />
เกณฑ์อย่างง่ายในการก าหนดค าค้นที่เหมาะสม ซึ่งออนโทโลยีจะแสดงรายละเอียดเหล่านั้นอย่างเป็น<br />
ระบบม าให้ผู้ใช้บริการเกิดกระบวนการเรียนรู้และมีตัวอย่างในการพัฒนาค าค้นในโดเมนที่ตนเองสนใจ<br />
จากนั้นบรรณารักษ์จึงค่อยน าเข้าสู่ฐานข้อมูลเฉพาะทางอื่นๆตามความเหมาะสมเป็นต้น<br />
รูปที่ 2 แสดงผลการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับ อุทกภัย (flood) จาก http://onki.fi<br />
หรือเรียกว่า Finnish Ontology Library Service ซึ่งให้บริการเชื่อมโยงเว็บเชิงความหมาย<br />
3.3 บริการให้ค าแนะน าในการเลือกแหล่งสารสนเทศ (Referral services) จากการเพิ่มจ านวนขึ้น<br />
ของทรัพยากรสารสนเทศ ท าให้หอ้งสมุดไม่สามารถจัดหาทรัพยากรเข้ามาให้บริการได้ครบทั้งหมด และ<br />
ทางเลือกหนึ่งของการบริการก็คือ การชี้แ นะแหล่งสารสนเทศภายนอกเพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับสารสนเทศที่
หน้าที่ 11<br />
อยู่นอกองค์กรอย่างตรงกับความต้องการ ในการให้บริการลักษณะนี้บรรณารักษ์จะส ารวจข้อมูลและรวบรวม<br />
แหล่งสารสนเทศไว้บริการโดยแบ่งเป็นประเภทต่างๆ เช่น งานวิจัย โครงการพัฒนาเอกชน สารสนเทศ<br />
รัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศ สารสนเทศจากการประชุมและข้อสรุปของผู้เชี่ยวชาญต่างๆ หรือแม้แต่<br />
ข่าวสารและเหตุการณ์ส าคัญ เป็นต้น ในการน าออนโทโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในฐานะที่เป็นแหล่งสารสนเทศ<br />
นั้น บรรณารักษ์สามารถประเมิน (evaluate) และเทียบเคียงสมรรถนะ (benchmark) กับแหล่งสารสนเทศ<br />
เดิมที่สถาบันบริการสารสนเทศรวบรวมไว้ แล้วท าการจับคู่ (matching) ตามโดเมนเฉพาะทางเหล่านั้น เพื่อ<br />
ช่วยให้ผู้ใช้บริการมีทางเลือกในการท าความเข้าใจระดับความสัมพันธ์ของค าค้นที่ตนใช้ กับผลที่เกิดขึ้นจาก<br />
การค้นในฐานข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งจะท าให้ผู้ใช้เข้าใจมาตรฐานการก าหนดค าค้ นของแขนงวิชาที่ตนสนใจและ<br />
ค้นคว้าหาข้อมูลอยู่ได้เป็นอย่างดี<br />
รูปที่ 3 แสดงผลการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับ positive regulation of cytolysis<br />
ในเว็บไซต์ที่ให้บริการออนโทโลยีด้านชีวสารสนเทศ www.ebi.ac.uk/ontology-lookup<br />
3.4 บริการการค้นคืนสารสนเทศ (Information retrieval service) ส าหรับการน าออนโทโลยีมา<br />
ประยุกต์ใช้ในบริการลักษณะนี้ บรรณารักษ์สามารถน าข้อมูลจากออนโทโลยีมาแสดงวิธีการก าหนดค าค้น<br />
ก่อนจะลงมือสืบค้นในฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งข้อดีของออนโทโลยีก็คือการอธิบายความสัมพันธ์<br />
ระหว่างแนวคิดซึ่งฐานข้อมูลจะให้เพียงรายละเอียดทางบรรณานุกรมและเอกสารฉบับเต็มแก่ผู้ใช้ แต่เมื่อ
หน้าที่ 12<br />
ผู้ใช้น าข้อมูลของออนโทโลยีที่อธิบายความหมายของเอกสารฉบับนั้นอย่างครอบคลุมก็จะท าให้ผู้ใช้สามารถ<br />
เรียนรู้ความสัมพันธ์ของเอกสารแต่ละฉบับ โดยที่ไม่ต้องอ่านเอสารทั้งหมดอย่างละเอียดก็สามารถเชื่อมโยง<br />
ความหมายหลักเข้าด้วยกันได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ออนโทโลยียังช่วยให้การเรียบเรียงสารสนเทศใน<br />
รูปแบบพร้อมใช้ (information packaging) ของบรรณารักษ์มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และครอบคลุม<br />
ค าศัพท์ต่างๆ ที่ส าคัญภายใต้โดเมนเดียวกันอีกด้วย<br />
4. บทสรุป<br />
บทความฉบับนี้ กล่าวถึง ปรากฏการณ์ที่ผู้ใช้บริการสารสนเทศต้องเผชิญกับออนโทโลยีเป็นจ านวน<br />
มาก ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ประมวลผลแนวคิด (Concepts) และความสัมพันธ์ (Relations)<br />
ขององค์ความรู้ (Body of knowledge) ในโดเมนที่มีขอบเขตเฉพาะเจาะจง หากผู้ให้บริการสารสนเทศ เช่น<br />
บรรณรักษ์ และนักสารสนเทศ สามารถ น าความรู้ด้านการประเมินออนโทโลยีเพื่อประยุกต์ใช้ในการบริการ<br />
สารสนเทศ เพื่อสร้างโอกาสแก่ผู้ใช้บริการให้มีทางเลือกผ่านเครื่องมือสืบค้นข้อมูลรูปแบบใหม่ๆ ช่วยให้<br />
การเข้าถึงสารสนเทศมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จากการทบทวนวรรณกรรม พบว่า<br />
แนวทางที่ใช้ในการประเมินออนโทโลยี (ontology evaluation) ถูกเสนอไว้โดยนักวิชาการ 2 กลุ่ม กลุ่มแรก<br />
คือ แนวการประเมินออนโทโลยีของ Sure ได้แก่ การประเมินเนื้อหา การประเมินเครื่องมือ การประเมิน<br />
ความสัมพันธ์ของค าศัพท์ และการประเมินกระบวนการท างานของเครื่องมือและแอพพลิเคชั่น กลุ่มถัดมา<br />
คือ แนวการประเมินออนโทโลยีของ Brank Grobelnik และ Mladenic (2005) ได้แก่ การประเมินในระดับ<br />
ของค าศัพท์ การประเมินในระดับโครงสร้างของล าดับชั้นข้อมูล การประเมินในระดับความสัมพันธ์ การ<br />
ประเมินในระดับบริบทและแอพพลิเคชั่น การประเมินในระดับประโยค และ การประเมินในระดับโครงสร้าง<br />
สถาปัตยกรรม และการออกแบบ ซึ่งผู้ให้บริการสารสนเทศสามารถใช้แนวทางในการประเมินออนโทโลยี<br />
ดังกล่าว มาวิเคราะห์และเลือกสรรประโยชน์จากออนโทโลยีเข้ามาพัฒนาบริการสารสนเทศในหน่วยงานให้<br />
มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างในการขับเคลื่อนบริการสารสนเทศ ได้แก่ บริการตอบค าถามและช่วยการ<br />
ค้นคว้า บริการสอนผู้ และฝึกอบรมทักษะการรู้สารสนเทศแก่ผู้ใช้ บริการให้ค าแนะน าในการเลือกแหล่ง<br />
สารสนเทศ และบริการการค้นคืนสารสนเทศ
หน้าที่ 13<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
ธนิตา วงศ์กาฬสินธุ์ & งามนิจ อาจอินทร์. (2552). การเชื่อมโยงออนโทโลยีบนโดเมน E-learning โดยใช้<br />
WordNet บนพื้นฐานของการวัดค่าความคล้ายคลึงความหมาย. เอกสารประกอบการสัมนาทาง<br />
วิชาการ The 5 th National Conference on Computing and Information Technology-<br />
NCCIT 2009. (หน้า 218-224). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.<br />
นงเยาว์ พันธุ์คง & สมชาย ปราการเจริญ. (2553). การบูรณาการออนโทโลยีในระบบริหารลูกค้าสัมพันธ์<br />
ด้วยกฎควบคุมการเข้าถึงสิทธิ์. เอกสารประกอบการสัมนาทางวิชาการ The 6 th National<br />
Conference on Computing and Information Technology-NCCIT 2010. (หน้า 734-739).<br />
กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.<br />
นภัส สุขสม, มารุต บูรณรัช & เทพชัย ทรัพย์นิธิ. (2551). การพัฒนาออนโทโลยีส าหรับระบบให้<br />
ค าแนะน าการบริโภคอาหารตามโภชนาการเฉพาะบุคคล. กรุงเทพฯ: ศูนย์เทคโนโลยี<br />
อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ<br />
น้ าทิพย์ วิภาวิน. (2546). ทักษะการใช้ห้องสมุดยุคใหม่. กรุงเทพฯ: เอสอาร์ พริ้นติ้ง แมสโปรดักส์.<br />
เพ็ญพรรณ อัศวนพเกียรติ, อรินทิพย์ ธรรมชัยพิเนต & กฤษณะ ไวยมัย. (2546). ออนโทโลยีชีวภาพ: ระบบ<br />
ส าหรับสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูลทางด้านชีววิทยา. เอกสารประกอบการประชุมทางวิชาการ<br />
ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 41 : สาขาพืช สาขาวิศวกรรมศาสตร์และ<br />
สถาปัตยกรรมศาสตร์.. (หน้า 277-285). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.<br />
มารุต บูรณรัช & เทพชัย ทรัพย์นิธิ. (2553). การอบรมเชิงปฏิบัติการ: พัฒนาออนโทโลยีเพื่อสนับสนุน<br />
ห่วงโซ่อุปทานกล้วยไม้. กรุงเทพฯ: ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็คทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ.<br />
มาลี กาบมาลา. (2553). เอกสารประกอบการสอนวิชา 412 231 บริการสารสนเทศ. ขอนแก่น: สาขา<br />
การจัดการสารสนเทศและการสื่อสาร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.<br />
มาลี กาบมาลา, ล าปาง แม่นมาตย์ & ครรชิต มาลัยวงศ์. (2549). ออนโทโลยี: แนวคิดการพัฒนา. บรรณ<br />
รักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ มข, 24 (1-3), 24-49.<br />
มาลี ล้ าสกุล. (2549). การบริการและเผยแพร่สารนิเทศ. (น. 1-36). นนทบุรี: แขนงวิชาสารสนเทศ<br />
ศาสตร์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.<br />
รวีวรรณ ข าพล & นริศรา เฮมเบีย. (2551). การบริการตอบค าถามและช่วยการค้นคว้า: ความคาดหวังและ<br />
ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ ฝ่ายหอสมุดจอห์น เอฟ เคนเนดี้. วารสารวิชาการคณะ<br />
มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 4(1): 104-132.
หน้าที่ 14<br />
โรสริน อัคนิจ, ธนิต พุทธพงศ์ศิริพร, น้ าฝน ล าดับวงศ์ & อารีย์ ธัญกิจจานุกิจ. (2554). การพัฒนาออนโทโล<br />
ยีเพื่อการจัดการความรู้ด้านการแปรรูปข้าว. วารสารเกษตร, 27(3): 267-274.<br />
วรลักษณ์ วงศ์โดยหวัง ศิริเจริญ. (2550). ออนโทโลยีกับวิศวกรรมซอฟต์แวร์. กรุงเทพฯ: คณะ<br />
วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย.<br />
วิชุดา โชติรัตน์ ผุสดี บุญรอด และศจีมาจ ณ วิเชียร. (2554). การพัฒนาฐานความรู้ออนโทโลยีส าหรับ<br />
วิเคราะห์ข่าวออนไลน์โดยอัตโนมัติ. วารสารเทคโนโลยีสารสนเทศ, 7 (17): 13-18.<br />
วิสิทธิ์ บุญชุม & นวลวรรณ สุนทรภิษัช. (2552). ออนโทโลยี: สื่อกลางในการจับคู่ข้อมูลเอ็กซ์เอ็มเอลที่มี<br />
ความสัมพันธ์กันเชิงความหมาย. เอกสารประกอบการสัมนาทางวิชาการ The 5 th National<br />
Conference on Computing and Information Technology-NCCIT 2009. (หน้า 338-343).<br />
กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.<br />
สมชาย ปราการเจริญ. (2548). ออนโทโลยีทางเลือกของการพัฒนาฐานความรู้ในรูปแบบเชิงเนื้อหา.<br />
เอกสารประกอบการสัมนาทางวิชาการ The 5 th National Conference on Computing and<br />
Information Technology-NCCIT 2009. (หน้า 92-99). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระ<br />
จอมเกล้าพระนครเหนือ.<br />
สมมณี ลูซะวงษ์ & งามนิจอาจอินทร์. (2553). การเข้าถึงฐานข้อมูลบนพื้นฐานของออนโทโลยีด้วยวิธีการ<br />
ปรับเปลี่ยนค าสั่งการสืบค้น. เอกสารประกอบการสัมนาทางวิชาการ The Second<br />
Conference on Knowledge and Smart Technologies. (หน้า 29-34). ชลบุรี: ประเทศไทย.<br />
สิริรัตน์ ประกฤติกรชัย. (2550). การสร้างต้นแบบออนโทโลยีของพืชสมุนไพรไทย. วิทยานิพนธ์ วิทยา<br />
ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอม<br />
เกล้าพระนครเหนือ.<br />
สีลตา วงศ์กาฬสินธุ์ & งามนิจ อาจอินทร์. (2552). การรวมกันของออนโทโลยีอย่างมีความหมายส าหรับ<br />
โดเมนห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์. เอกสารประกอบการสัมนาทางวิชาการ The 5 th National<br />
Conference on Computing and Information Technology-NCCIT 2009. (หน้า 288-293).<br />
กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.<br />
อรวรรณ อุไรเรืองพันธุ์ & สมจิตรอาจอินทร์. (2552). การสรุปเอกสารเชิงความหมายโดยใช้ออนโทโลยี.<br />
เอกสารประกอบการสัมนาทางวิชาการ The 5 th National Conference on Computing and<br />
Information Technology-NCCIT 2009. (หน้า 294-299). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี<br />
พระจอมเกล้าพระนครเหนือ.<br />
อิศราวดี ทองอินทร์. (2553). การพัฒนาบริการสารสนเทศออนไลน์เพื่อการวิจัยในสาขาวิชาพระพุทธศาสนา<br />
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่. สารสนเทศศาสตร์, 28(1): 1-15.
หน้าที่ 15<br />
Boonchom, V. & Soonthornphisaj, N. (2009). Thai succession and family law ontology building<br />
using ant colony algorithm. Kumiyo Nakakoji, Yohei Murakami, and Eric McCready (Eds.).<br />
Proceedings of the 2009 international conference on New frontiers in artificial<br />
intelligence (JSAI-isAI'09). (pp 19-32). New York: Springer Berlin Heidelberg.<br />
Brank, J., Grobelnik, M., & Mladenic, D. (2005). A Survey of Ontology Evaluation Techniques.<br />
Proceedings of the Conference on Data Mining and Data Warehouses (SiKDD).<br />
Ljubljana: Slovenia.<br />
Broughton, V. (2006). Essential thesaurus construction. London: Facet Publishing.<br />
Currás, E. (2010). Ontologies, taxonomies and thesauri in systems science and systematic.<br />
Oxford : Chandos.<br />
Dragan, G., Dragan, D. and Vladan, D. (2006). Model driven architecture and ontology<br />
development. New York: Springer Berlin Heidelberg.<br />
Gruber, T. R. (1993). A Translation Approach to Portable Ontology Specifications. Knowledge<br />
Acquisition, 5(2), 199-220.<br />
Guarino, N. (1995). Formal Ontology, Conceptual Analysis and Knowledge Representation,<br />
International Journal of Human-Computer Studies, 43: 625–640.<br />
Heeptaisong, T. & Srivihok, A. (2010). Ontology Development for Searching Soil Knowledge.<br />
Proceeding of The 9th International Conference on e-Business 2010. Bangkok: Faculty<br />
of Science, Kasetsart University.<br />
Hendler, J. (2001). Agents on the Web. IEEE Intelligent Systems, 16(2): 30-37.<br />
Kayed, A. & Colomb, R. M. (2005). Using BWW model to evaluate building ontologies in CGs<br />
formalism. Information Systems, 30(5): 379-398.<br />
Oh, S. & Yeom, H.Y. (In Press). A comprehensive framework for the evaluation of ontology<br />
modularization. Expert Systems with Applications, Retrieved January, 25 2012, from<br />
http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0957417412001479<br />
Orbst, L., Hughes, T. & Ray, S. (2006). Prospects and Possibilities for Ontology Evaluation: The<br />
View from NCOR. Proceedings of Evaluation of Ontologies for the Web, The 4 th<br />
International EON Workshop.<br />
Park, J., Cho, W. & Rho, S. (2010). Evaluating ontology extraction tools using a comprehensive<br />
evaluation framework. Data and Knowledge Engineering, 69(10): 1043-1061.
หน้าที่ 16<br />
Sowa, J.F. (2000). Knowledge Representation: Logical, Philosophical, and Computational<br />
Foundations. Pacific Grove, CA: Brooks Cole.<br />
Soysal E, Cicekli I, Baykal N. Design (2010). Design and evaluation of an ontology based<br />
information extraction system for radiological reports. Computers in Biology and<br />
Medicine, 40(11–12): 900-911.<br />
Sure, Y., Gomez-Perez, G.-P., Daelemans, W., Reinberger, M.-L., Guarino, N. & Noy, N. F. (2004).<br />
Why Evaluate Ontology Technologies: Because It Works!. IEEE Intelligent Systems,<br />
19 (4): 74-81.<br />
Swartout, W. R. & Tate, A. (1999). Guest editors' introduction: Ontologies. IEEE Intelligent<br />
Systems, 14(1): 18–19.<br />
Tsoi, L. C., Patel, R., Zhao, W. & Zheng, W. J. (2009). Text-mining approach to evaluate terms for<br />
ontology development. Journal of Biomedical Informatics, 42(5): 824-830.
ภาคผนวก<br />
หน้าที่ 17
หน้าที่ 18<br />
เนื้อหาเดิมที่ใช้ในส่วน “บทน า”<br />
เนื้อหาเดิม 1 น้ าทิพย์ วิภาวิน (2546, น. 93) บริการสารสนเทศ เป็นบริการทรัพยากรสารสนเทศใน<br />
รูปแบบต่างๆ แก่ผู้ใช้บริการห้องสมุดให้ได้รับสารสนเทศตามความต้องการ ซึ่งหัวใจของงานห้องสมุด คือ<br />
การบริการสารสนเทศเพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับข้อมูลที่ต้องการสารสนเทศทุกรูปแบบ ได้รวดเร็ว และตรงตาม<br />
ต้องการไม่ว่าจะอยู่ในรูปสิ่งพิมพ์ สื่อโสตทัศน์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์<br />
เนื้อหาเดิม 2 มาลี กาบมาลา (2553, น. 5) บริการสารสนเทศ หมายถึง งานบริการที่ให้ข้อมูลอย่าง<br />
ละเอียดลึกซึ้ง ช่วยค้นหาข้อมู ล หรือเรื่องราวในสาขาวิชาต่างๆ ให้บริการหลายประเภท เช่น บริการจัดท า<br />
ดรรชนีและสาระสังเขป บริการเลือกสรรสารสนเทศเฉพาะบุคคล บริการข่าวสารทันสมัย เป็นต้น และยังต้อง<br />
ติดต่อกับศูนย์เอกสารและศูนย์สารสนเทศต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลตามความต้องการของผู้ใช้ ในการค้นหา<br />
ข้อมูลโดยใช้ทรัพยากรสารสนเทศ (information sources) นอกจากจะเป็นเอกสารสิ่งพิมพ์แล้ว ยังรวมถึง<br />
สารสนเทศที่อยู่ในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ สามารถค้นข้อมูลออกมาในรูปบรรณานุกรมและเนื้อหาเต็มฉบั บ<br />
(full text) บริการสารสนเทศมีจุดมุ่งหมายให้ผู้ใช้ได้รับสารสนเทศที่ถูกต้อง สมบูรณ์ รวดเร็ว และตรงกับ<br />
ความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด<br />
เนื้อหาเดิม 3 มาลี ล้ าสกุล (2549, น. 6) บริการสารสนเทศ เป็นบริการที่ช่วยเหลือผู้ใช้ด้านต่างๆ นับแต่<br />
การค้นคว้าหาข้อมูลข่าวสารหรือเรื่องราวในสาขาวิชาต่างๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการอย่างละเอียด รวมถึงการ<br />
ค้นหาค าตอบจากบรรณานุกรม ดรรชนีและสาระสังเขป และการติดต่อกับแหล่งสารสนเทศอื่นๆ เพื่อให้ได้<br />
สารสนเทศที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในการศึกษาค้นคว้า วิจัย ประกอบการตัดสินใจ แก้ปัญหาใน<br />
การปฏิบัติงาน และบริหารจัดการงาน<br />
เนื้อหาเดิม 4 อิศราวดี ทองอินทร์ (2553, น. 3) “บริการสารสนเทศที่มีคุณภาพ ต้องเป็นบริการที่มี<br />
รูปแบบตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และให้ข้อมูลข่าวสารข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้<br />
ให้มากที่สุด การจัดบริการสารสนเทศให้สนองคว ามต้องการของผู้ใช้จึงเป็นภารกิจหลักของห้องสมุด การ<br />
จัดบริการสารสนเทศให้สนองความต้องการของผู้ใช้จึงเป็นภารกิจหลักของห้องสมุด”<br />
เนื้อหาเดิม 5 รวีวรรณ ข าพล และนริศรา เฮมเบีย (2551, น. 3) “เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามี<br />
บทบาทในห้องสมุด งานบริการตอบค าถามและช่วยการ ค้นคว้าซึ่งเป็นงานที่ต้องช่วยเหลือผู้ใช้บริการให้<br />
ได้รับสารสนเทศตามที่ต้องการอย่างสะดวกและรวดเร็ว ห้องสมุดจึงน าเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ และ<br />
บรรณารักษ์ผู้ให้บริการก็ต้องพัฒนาตนเองในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้วย”
หน้าที่ 19<br />
เนื้อหาเดิม 6 Brank, Grobelnik and Mladenic (2005, p 1) The focus of modern information systems<br />
is moving from “data processing” towards “concept processing”, meaning that the basic unit of<br />
processing is less and less an atomic piece of data and is becoming more a semantic concept<br />
which carries an interpretation and exists in a context with other concepts. Ontology is commonly<br />
used as a structure capturing knowledge about a certain area via providing relevant concepts and<br />
relations between them.
ผลที่ได้จากการสรุปความ (Summarizing) และใช้การขึ้นต้นด้วยค านิยามศัพท์ (Definition)<br />
หน้าที่ 20<br />
บริการสารสนเทศ (Information services) เป็นบริการหลักของห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษา และ<br />
สถาบันบริการสารสนเทศ ประกอบด้วย บริการจัดท าดรรชนีและสาระสังเขป บริการข่าวสารทันสมัย บริการ<br />
ตอบค าถามและช่วยการค้นคว้า บริการการสอนทักษ ะการรู้สารสนเทศ บริการการชี้แนะแหล่งสารสนเทศ<br />
และบริการค้นคืนสารสนเทศ บริการเหล่านี้ก าหนดขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใช้บริการให้สามารถค้นหา<br />
ข้อมูล ข้อเท็จจริง หรือค าตอบในเรื่องใดๆ ซึ่งถูกบันทึกไว้ในสื่อรูปแบบต่างๆ ตามที่ต้องการได้อย่างสะดวก<br />
รวดเร็วและละเอียดลึกซึ้ง โดยมีบรรณารักษ์เป็นผู้ช่วยเหลือที่เข้าใจ ท าหน้าที่บริการผู้ใช้ในการค้นหา<br />
สารสนเทศ หรือ ให้ค าแนะน าในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสารสนเทศ และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ อย่าง<br />
คุ้มค่ามากที่สุด ทั้งยังช่วยสอนทักษะการรู้สารสนเทศ หรือให้ค าแนะน าแก่ผู้ใช้ในการเลือกแห ล่งสารสนเทศ<br />
ที่เหมาะสม (น้ าทิพย์ วิภาวิน , 2546; มาลี ล้ าสกุล , 2549; มาลี กาบมาลา , 2553, อิศราวดี ทองอินทร์ ,<br />
2553) แต่เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICTs) เข้ามามีบทบาทในห้องสมุด บรรณารักษ์จึงต้อง<br />
เพิ่มพูนทักษะด้านเทคโนโลยี เพื่อช่วยผู้ใช้ให้ได้รับบริก ารสารสนเทศตรงตามความต้องการอย่างสะดวกและ<br />
รวดเร็วยิ่งขึ้น (รวีวรรณ ข าพล และนริศรา เฮมเบีย, 2551)<br />
อย่างไรก็ตาม ความสนใจของนักวิชาการในการบริหาร เทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ ได้เคลื่อนตัว<br />
จาก "การประมวลผลข้อมูล (data processing)" ไปสู่ "การประมวลผลในระดับแนวคิด (concept<br />
processing)" กล่าวคือ นักวิชาการหันมาให้ความสนใจในแนวคิดเชิงความหมายที่มุ่งตีความ และท าความ<br />
เข้าใจต่อการด ารงอยู่ของความรู้ในบริบทที่แตกต่างกัน โดยพัฒนาเครื่องมือเชิงโครงสร้างเพื่อดักจับความรู้<br />
และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ที่เรียกว่า “ออนโทโลยี (ontology)” (Brank, J., Grobelnik, M. and<br />
Mladenic, D., 2005) ในบทความนี้ผู้เขียนขอน าเสนอความรู้เกี่ยวกับการประเมินออนโทโลยี ประกอบด้วย<br />
ความส าคัญของการประเมินออนโทโลยี แนวทางในการประเมินออนโทโลยี และการประยุกค์ใช้ออนโทโลยี<br />
ในงานบริการสารสนเทศ ดังนี้
หน้าที่ 21<br />
เนื้อหาเดิมที่ใช้ในส่วน “ความส าคัญของการประเมินออนโทโลยี”<br />
เนื้อหาเดิม 1 Sowa, J.F. (2000). “ The word “ontology” comes from the Greek ontos, for “being”,<br />
and logos, for “word”. In philosophy, it refers to the subject of existence, i.e., the study of being as<br />
such. More precisely, it is the study of the categories of things that exist or may exist in some<br />
domain. ”<br />
เนื้อหาเดิม 2 Emilia Curras (2010, p. 18) “ The Diccionario Enciclopédico Abreviado de Espasa<br />
Calpe describes ontology as the part metaphysics that deals with the being in general and its<br />
transcendental properties. The Instituto de Ontologíca says that it is the art and science of being.<br />
Its aim is to penetrate and examine the fundamental nature of being in itself. In some philosophical<br />
treaties, ontology is described as the study of what exists and what we assume exists in order to<br />
achieve a coherent description of reality. ”<br />
เนื้อหาเดิม 3 Dragan, G., Dragan, D. and Vladan, D. (2006, p. 46-47) Cited are “Gruber, T.R.<br />
(1993) Ontology is a specification of a conceptualization. Guarino, N. (1995) Ontology can be seen<br />
as the study of the organization and the nature of the world independently of the form of our<br />
knowledge about it. Swartout, W.R. and Tate, A. (1999) Ontology is the basic structure or armature<br />
around which a knowledge base can be built. Hendler, J. (2001) Ontology is a set of knowledge<br />
term, including the vocabulary, the semantic interconnections, and some simple rules of inference<br />
and logic for some particular topic.”<br />
เนื้อหาเดิม 4 Vanda Broughton (2006, p. 218) “Ontology is a model or representation of a subject<br />
field in which the relationships between concepts in the field are specified.”<br />
เนื้อหาเดิม 5 วรลักษณ์ ศิริเจริญ (2551) “นิยามความหมายของออนโทโลยี เป็นรายละเอียดของ<br />
แนวความคิดหรือทฤษฎีที่สร้างขึ้น (Specification of Conceptualization) ซึ่งอ้างถึงอย่างถูกต้องตามหลัก<br />
ไวยากรณ์บนพื้นฐานของภาษามาร์คอัพ (Markup Language) ต่างๆ เช่น XML (Extensible Markup<br />
Language) XMLs (XML Schema) RDF (Resource Description Framework) RDFs (RDF Schema)<br />
และ OWL (Web Ontology Language) เป็นต้น”
หน้าที่ 22<br />
เนื้อหาเดิม 5 โรสริน อัคนิจ ธนิต พุทธพงศ์ศิริพร น้ าฝน ล าดับวงศ์ และอารีย์ ธัญกิจจานุกิจ (2554) “ออน<br />
โทโลยี คือ แบบจ าลองที่แสดงถึงโครงสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างหมวดหมู่ของค าส าคัญที่ก าหนดขึ้น เพื่อ<br />
ประโยชน์ในการอธิบายความเพื่อเข้าใจร่วมกัน เชื่อมโยง และสืบค้นข้อมูลที่แม่นย าและมีประสิทธิภาพมาก<br />
ขึ้น ซึ่งเป็นส่วนส าคัญต่อการจัดการองค์ความรู้ ออนโทโลยีใช้แสดงมโนทัศน์และความสัมพันธ์ระหว่างมโน<br />
ทัศน์ในรูปแบบโครงสร้างล าดับชั้น (hierarchical structure) และมีการระบบชนิดของความสัมพันธ์นั้น”<br />
เนื้อหาเดิม 6 ธนิตา วงศ์กาฬสินธุ์ และงามนิจ อาจอินทร์ (2552) “ออนโทโลยี คือ แนวคิดในการบรรยาย<br />
องค์ความรู้และแสดงสิ่งที่เราสนใจอย่างมีขอบเขตตามโครงสร้างและความสัมพันธ์หรือการนิยามค าศัพท์และ<br />
ความหมายของค าศัพท์ส าหรับบรรยายความรู้ที่สนใจ ซึ่งโครงสร้างคว ามสัมพันธ์ดังกล่าว เครื่อง<br />
คอมพิวเตอร์สามารถสามารถเข้าใจและแปลความได้โดยใช้คลาส (Class) ความสัมพันธ์ระหว่างคลาส หมาย<br />
รวมถึงล าดับชั้นของคลาสและคุณสมบัติของคลาส (Properties)”<br />
เนื้อหาเดิม 7 สมชาย ปราการเจริญ . (2548, น. 93) “ออนโทโลยีเป็นศาสตร์ที่เกิดขึ้น ในสมั ยกรีกโรมัน<br />
โบราณโดยนักปราชญ์อริสโตเติล ได้ก าหนดวิชาออนโทโลยีอันมาจากรากศัพท์ ออนโท +โลยี (Onto+logy)<br />
ออนโท หมายถึงสิ่งที่มีอยู่ (Exist) และโลยี คือ ศาสตร์ หากแปลตามค าศัพท์จะหมายถึง ศาสตร์ที่กล่าวถึงสิ่ง<br />
ที่มีอยู่ เริ่มจาก อริสโตเติลได้พยายามสร้างต้นไม้แห่งพอร์ฟิรี (Porphyry) ซึ่งมีลักษณะเป็นไฮรากีทรี จ าแนก<br />
ประเภทของสิ่งต่างๆ”<br />
เนื้อหาเดิม 8 มาลี, ล าปาง แม่นมาตย์ & ครรชิต (2549, 24-49) ออนโทโลยี มีการน ามาใช้เป็นครั้งแรกใน<br />
สาขาปัญญาประดิษฐ์ เมื่อ ปี ค .ศ.1980 โดย John MxCarthy ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ในบทความ Cricumscript:<br />
A form of Non-Monotonic ในวารสาร Artificial Intelligence ปีที่ 5 ฉบับที่ 13 หน้า 27-29 และได้เริ่ม<br />
น ามาใช้ในหลากหลายสาขาวิชา ตั้งแต่ช่วงปี 1990s ได้แก่ สาขาวิชาวิศวกรรมความรู้ (Knowledge<br />
Engineering) การน าเสนอตัวแทนความรู้ (Knowledge representation) การประมวลผลภาษาธรรมชาติ<br />
(Natural Language Process) ระบบสารสนเทศความร่วมมือ (Cooperative Information System) การบูร<br />
ณาการข้อมูลอัจฉริยะ (Intelligent Information Integration) การจัดการความรู้ (Knowledge Management)<br />
การออบแบบฐานข้อมูล (Database Design) การค้นคืนสารสนเทศ (Information Retrieval) พาณิชย์<br />
อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce) ส าหรับสาขาบรรณรักษศาสตร์ ในปี ค .ศ.1997 Vickery ได้ตีพิมพ์<br />
บทความทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับความส าคัญของออนโทโลยีในวารสาร journal of Information<br />
Science ปีที่ 23 ฉบับที่ 7 เดือนกรกฎาคม 1977 หน้า 277-286 ซึ่งนักวิชาการได้ก าหนดค าที่ใช้เรียก "ออน<br />
โทโลยี(Ontology)" ไว้หลากหลายแตกต่างกัน เช่น อภิธานศัพท์ (Glossary) และพจนานุกรม (Data<br />
Dictionaries) ธีซอรัสและแทกโซโนมี (Thesauri & Taxonomies) แบบแผนเค้าร่าง (Schemas) แบบจ าลอง<br />
ข้อมูล (Data Model) แบบจ าลองขอบเขตความรู้ (Domain Model) ออนโทโลยีที่เป็นแบบแผน (Formal<br />
Ontology) การอนุมาน (Inference) เป็นต้น ออนโทโลยี มีบทบาทส าคัญในการบรรยายเชิงความหมาย เพื่อ
หน้าที่ 23<br />
ความเข้าใจร่วมกันในของเขตความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างสอดคล้องตรงกัน โดยใช้แนวคิด (Concept)<br />
เดียว เพื่อลด หรือ ตัดทอนหลายแนวคิด (Concepts) หรือค าศัพท์ที่สับสน และเพื่อสนับสนุนการ<br />
แลกเปลี่ยน การค้นคืนข้อมูล สารสนเทศ และมีความส าคัญต่อการพัฒนาระบบความรู้ (Knowledge Based<br />
Systemms) เนื่องจากการสร้างออนโทโลยีท าให้สามารถแบ่งปันและใช้ความรู้ร่วมกัน และสามารถน า ความรู้<br />
มาใช้ใหม่ได้ ออนโทโลยี เป็นการก าหนดนิยามความหมายของแนวคิด (Concepts) ในขอบเขตของความรู้ที่<br />
สนใจ หรือ ขอบเขตความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง (Domian of Interrest) โดยการก าหนดคุณสมบัติ (Property) ที่<br />
เกี่ยวข้องกับแนวคิด และก าหนดลักษณะความสัมพันธ์ (Relationship) รวมทั้งตรรกะของการแปลง<br />
ความสัมพันธ์เพื่อสร้างความหมาย เช่น ลักษณะความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง หรือลักษณะการแสดงความ<br />
เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกันของแนวคิด หรือระหว่างแนวคิดกับคุณสมบัติในขอบเขตความรู้ที่สนใจ เพื่อ<br />
สร้างองค์ความรู้ในด้านนั้น ๆ โดยแสดงโครงสร้างความ สัมพันธ์ที่ชัดเจนโดยใช้คลาส (Classes) หรือ<br />
แนวคิด (Concepts) ความสัมพันธ์ระหว่างคลาสกับคุณสมบัติของคลาส (property) นอกจากนี้ยังมี<br />
นักวิชาการได้ก าหนดนิยามความหมายของออนโทโลยีที่สอดคล้องตรงกัน กล่าวคือ ออนโทโลยี หมายถึง<br />
การก าหนดนิยามความหมายที่เป็นทางการ และปร ะกาศคุณลักษณะที่ชัดแจ้งของค าศัพท์ที่ใช้ในการอธิบาย<br />
ซึ่งเป็นตัวแทนของแนวคิด (Concepts) หรือแบบจ าลอง (Model) ของกลุ่มชุมชนสารสนเทศที่ใช้ร่วมกัน<br />
(Information Communities)<br />
เนื้อหาเดิม 9 วิชุดา ผุสดี และศจีมาจ (2554) อธิบายว่า “ฐานความรู้ออนโทโลยี คือ การอธิบาย รูปแบบ<br />
โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในขอบเขตที่สนใจ (Domain) เชิงมโนภาพ โดยสามารถใช้โครงร่าง<br />
พื้นฐานความสัมพันธ์ของเทอม (Term) ส าหรับเพื่อใช้เป็นฐานความรู้ได้ โดยฐานความรู้ออนโทโลยี<br />
ประกอบด้วย แนวคิด (Concepts) คุณสมบัติ (Properties) ความสัมพันธ์ (Relationships) ข้อก าหนดการ<br />
สร้างความสัมพันธ์ (Axioms) และตัวอย่างข้อมูล (Instance) ออนโทโลยีจะถูกอธิบายคลาส (Class) และ<br />
คุณสมบัติหรือคุณลักษณะด้วยสล็อต (Slot) ซึ่งอาจมีซับคลาส (Subclass) เพื่ออธิบายรายละเอียดของคลาส<br />
นั้นๆ โดยรูปแบบของการบรรยายจะขึ้นอยู่กับภาษาที่ใช้ ได้แก่ ภาษา RDFS และ OWL เป็นต้น”
หน้าที่ 24<br />
ผลที่ได้จากการคัดลอก (Coding) สรุปความ (Summarizing) และการถ่ายความ (Paraphrasing)<br />
สมชาย (2548) กล่าวถึงออนโทโลยีไว้ว่า “เป็นศาสตร์ที่เกิดขึ้นในสมัยกรีก-โรมันโบราณ โดยนักปราชญ์<br />
อริสโตเติล ผู้สร้างต้นไม้แห่งพอร์ฟิรี (Porphyry) ซึ่งมีลักษณะเป็นไฮรากีทรี (Hierarchy tree) เพื่อใช้จ าแนก<br />
ประเภทของสิ่งต่างๆ Sowa (2000) อธิบายค าว่า “ออนโทโลยี” ว่าเป็นค าทับเสียง ontology ใน<br />
ภาษาอังกฤษซึ่งมาจากภาษากรีก (Greek) ว่า “ontos” แปลว่า การมีอยู่ และ “logos” แปลว่า ค า (word)<br />
มาลี, ล าปาง & ครรชิต (2549) กล่าวถึง “ออนโทโลยี” หรือเรียกว่า “ภววิทยา (ontology)” ไวว่าเป็น<br />
สาขาวิชาของอภิปรัชญาที่ว่าด้วยเรื่องของธรรมชาติและความสัมพันธ์ที่มีอยู่ “ออนโทโลยี น ามาใช้เป็นครั้ง<br />
แรกในสาขาปัญญาประดิษฐ์ เมื่อ ปี ค.ศ.1980 ในสาขาบรรณรักษศาสตร์ ค าว่า “ออนโทโลยี (ontology)” ถูก<br />
ให้อธิบายด้วยค าศัพท์แตกต่างกันไป อาทิ อภิธานศัพท์ (Glossary) และพจนานุกรม (Data Dictionaries) ธี<br />
ซอรัสและแทกโซโนมี (Thesauri & Taxonomies) แบบแผนเค้าร่าง (Schemas) แบบจ าลองข้อมูล (Data<br />
Model) แบบจ าลองขอบเขตความรู้ (Domain Model) ออนโทโลยีที่เป็นแบบแผน (Formal Ontology) และ<br />
การอนุมาน (Inference) เป็นต้น”<br />
กล่าวโดยสรุป “ออนโทโลยี” หมายถึง แนวคิดที่ใช้ก าหนดความหมายที่เป็นทางการของค าศัพท์ พร้อม<br />
ทั้งประกาศคุณลักษณะที่ชัดแจ้งเพื่อน ามาใช้ในการอธิบายความเป็นตัวแทนของแนวคิด (Concepts) หรือ<br />
แบบจ าลอง (Model) ของกลุ่มชุมชนสารสนเทศที่ใช้ร่วมกัน (Information Communities) ซึ่งโครงสร้าง<br />
ความสัมพันธ์ดังกล่าว เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสามารถเข้าใจและแปลความได้โดยใช้คลาส (Class)<br />
ความสัมพันธ์ระหว่างคลาส หมายรวมถึงล าดับชั้นของคลาสและคุณสมบัติ (Properties) ของคลาส ความรู้ที่<br />
ได้จากออนโทโลยีมีขอบเขตอยู่เฉพาะทาง (Domain) ซึ่งช่วยสนับสนุนกระบวนการค้นคืนสารสนเทศ<br />
(Information Retrieval) ในแง่ของการตัดทอนค าศัพท์ที่สับสน หรือ บรรยายเชิงความหมายจากหลาย<br />
แนวคิด (Concepts) ให้สอดคล้องกันภายใต้แนวคิด (Concept) เพียงหนึ่งเดียว ทั้งยั งมีบทบาทส าคัญต่อ<br />
การพัฒนาระบบความรู้ (Knowledge Based Systems) ในแง่ของการน ากลับมาใช้ใหม่ (Reusable) และ<br />
เพิ่มเติมองค์ประกอบได้ภายหลัง ส่วนภาษาที่ใช้ในออนโทโลยีเพื่อบรรยายข้อมูลเชิงความหมาย ได้แก่<br />
XML (Extensible Markup Language) RDF (Resource Description Framework) และ OWL (Web<br />
Ontology Language) ในการพัฒนาออนโทโลยีแต่ละประเภทจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ขอบเขตของความรู้<br />
บริบทแวดล้อม และความพร้อมในการพัฒนา (สมชาย, 2548; มาลี, ล าปาง, & ครรชิต, 2549; วรลักษณ์,<br />
2551; วิชุดา ผุสดี และศจีมาจ , 2554; โรสริน และคณะ, 2554; Broughton, 2006; Dragan, Dragan and<br />
Vladan, 2006; Curras, 2010)
หน้าที่ 25<br />
เนื้อหาเดิมที่ใช้ในส่วน “แนวทางการประเมินออนโทโลยี”<br />
เนื้อหาเดิม Brank, J., Grobelnik, M. and Mladenic, D. (2005).<br />
In addition to the above categories of evaluation, we can group the ontology evaluation<br />
approaches based on the level of evaluation, as described below.<br />
Lexical, vocabulary, or data layer. Here the focus is on which concepts, instances, facts,<br />
etc. have been included in the ontology, and the vocabulary used to represent or identify these<br />
concepts. Evaluation on this level tends to involve comparisons with various sources of data<br />
concerning the problem domain (e.g. domain-specific text corpora), as well as techniques such as<br />
string similarity measures (e.g. edit distance).<br />
Hierarchy or taxonomy. An ontology typically includes a hierarchical is-a relation between<br />
concepts. Although various other relations between concepts may be also defined, the is-a<br />
relationship is often particularly important and may be the focus of specific evaluation efforts.<br />
Other semantic relations. The ontology may contain other relations besides is-a, and<br />
these relations may be evaluated separately. This typically includes measures such as precision<br />
and recall.<br />
Context or application level. An ontology may be part of a larger collection of ontologies,<br />
and may reference or be referenced by various definitions in these other ontologies. In this case it<br />
may be important to take this context into account when evaluating it. Another form of context is<br />
the application where the ontology is to be used; evaluation looks at how the results of the<br />
application are affected by the use of the ontology.<br />
Syntactic level. Evaluation on this level may be of particular interest for ontologies that<br />
have been mostly constructed manually. The ontology is usually described in a particular formal<br />
language and must match the syntactic requirements of that language. Various other syntactic<br />
considerations, such as the presence of natural-language documentation, avoiding loops between<br />
definitions, etc., may also be considered.<br />
Structure, architecture, design. This is primarily of interest in manually constructed<br />
ontologies. We want the ontology to meet certain pre-defined design principles or criteria; structural<br />
concerns involve the organization of the ontology and its suitability for further development. This<br />
sort of evaluation usually proceeds entirely manually.
หน้าที่ 26<br />
ผลที่ได้จากการสรุปความ (Summarizing) และการถ่ายความ (Paraphrasing)<br />
Brank, J., Grobelnik, M. and Mladenic, D. (2005) กล่าวถึงแนวทางในการประเมินออนโทโลยี ที่<br />
แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ (1) การประเมินผลด้วยการเปรียบเทียบมาตรฐานออนโทโลยีที่ดี (golden<br />
standard) กับออนโทโลยีที่พัฒนาขึ้น กล่าวคือ การประเมินจะท าการเปรียบเทียบการให้ความหมายของ<br />
รูปแบบไวยากรณ์ (syntax) ในออนโทโลยี กั บการให้ความหมายเฉพาะตามรูปแบบไวยากรณ์ในภาษา<br />
ทางการ (syntax specification of formal language) ซึ่งออนโทโลยีท าการเขียน เช่น ภาษา RDF และ<br />
ภาษา OWL เป็นต้น (2) การประเมินลักษณะการใช้งานออนโทโลยีบนแอพพลิเคชั่นต่างๆ โดยพิจารณา<br />
ผลลัพธ์ที่สืบค้นได้จากออนโทโลยีที่ท างานบนแอพพลิเคชั่นเหล่านั้น (3) การประเมินโดยเปรียบเทียบที่มา<br />
ของแหล่งข้อมูล เช่น ประเมินจากแหล่งจัดเก็บเอกสาร (collection of documents) หรือ ประเมินจาก<br />
ขอบเขตความรู้ที่อยู่ในออนโทโลยี (domain to be covered by the ontology) และ (4) การประเมินโดย<br />
มนุษย์ (Assessment by humans) ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในโดเมนเฉพาะเผ็นผู้ก าหนดหลักเกณฑ์ มาตรฐาน และ<br />
ระบุความต้องการเชิงระบบในออนโทโลยีไว้ล่วงหน้า<br />
ระดับของการประเมิน<br />
(Level of evaluation)<br />
ตารางที่ 1 แสดงภาพรวมของแนวทางต่างๆ ที่ใช้ในการประเมินออนโทโลยี<br />
(An overview of approach to ontology evaluation)<br />
โดยมาตรฐานที่ดี<br />
(Golden standard)<br />
แนวทางที่ใช้ในการประเมิน (Approach of evaluation)<br />
โดยแอพพลิเคชั่น<br />
(Application-based)<br />
โดยข้อมูล<br />
(Data-driven)<br />
โดยมนุษย์<br />
(Humans)<br />
ลักษณะของค า (Lexical) ค าศัพท์<br />
(vocabulary) ระดับข้อมูล (data layer)<br />
√ √ √ √<br />
โครงสร้างแบบล าดับชั้น (Hierarchy)<br />
โครงสร้างแบบอนุกรมวิธาน (taxonomy)<br />
√ √ √ √<br />
ความสัมพันธ์เชิงความหมายลักษณะอื่น<br />
(Other semantic relations)<br />
√ √ √ √<br />
บริบท (Context) หรือ<br />
แอพพลิเคชั่น (application)<br />
√<br />
√<br />
รูปแบบของประโยค (Syntactic) √ √<br />
โครงสร้าง (Structure) สถาปัตยกรรม<br />
(architecture) การออกแบบ (design)<br />
√<br />
* ปรับปรุงมาจาก Brank, J., Grobelnik, M. and Mladenic, D. (2005)
หน้าที่ 27<br />
นอกจากนี้ หากพิจารณาตามระดับของการประเมิน (Level of evaluation) ยังสามาถจ าแนกลักษณะ<br />
การประเมินออนโทโลยี ออกเป็น 6 ระดับ ดังนี้<br />
1) ประเมินระดับลักษณะของค า (Lexical) และค าศัพท์ (vocabulary) หรือระดับของข้อมูล (data<br />
layer) กล่าวคือ การประเมินให้ความส าคัญกับแนวคิด (concepts) กรณีตัวอย่าง (instances) ข้อเท็จจริง<br />
(facts) และค าศัพท์ที่ใช้เป็นเป็นตัวแทนหรือให้ความหมายแก่แนวความคิดเหล่านั้นซึ่งบรรจุอยู่ในออนโทโล<br />
ยี การประเมินในระดับนี้จะเปรียบเทียบผลลัพธ์กับแหล่งที่มาของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันในขอบเขตความรู้<br />
(domain) ของปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งประเมินรูปแบบเชิงเทคนิคของออนโทโลยี เช่น ค่าสตริง (string)<br />
ความคล้ายคลึงกัน (similarity) การวัดค่าในลักษณะอื่นๆ (measures) และพิจารณาการแก้ไขค าศัพท์ (edit<br />
distance) เป็นต้น<br />
2) ประเมินระดับโครงสร้างข้อมูลแบบล าดับชั้น (Hierarchy) หรือแบบอนุกรมวิธาน (taxonomy)<br />
โดยทั่วไปออนโทโลยีจะประกอบด้วย ล าดับชั้นที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดด้วยค าว่า "is-a" และ<br />
ความสัมพันธ์ด้วยค าในลักษณะอื่นๆ เช่น synonym ซึ่งการประเมินจะพิจารณาความถูกต้องในการก าหนด<br />
ความสัมพันธ์แบบ "is-a" เป็นล าดับแรก<br />
3) ประเมินจากความสัมพันธ์เชิงความหมายในลักษณะอื่นๆ (Other semantic relations)<br />
นอกเหนือจากการประเมินจากความสัมพันธ์แบบ “is-a” แล้ว ออนโทโลยีอาจมีความสัมพันธ์อื่นๆ ซึ่ง<br />
ความสัมพันธ์เหล่านี้สามารถประเมินได้จากการพิจารณาความแม่นย า (precision) และการเรียกคืน (recall)<br />
จากการสืบค้นของผู้ใช้บริการแต่ละครั้ง<br />
4) ประเมินระดับบริบท (Context) หรือ แอพพลิเคชั่น (application) กล่าวคือ ออนโทโลยี อาจเป็น<br />
ส่วนหนึ่งของแหล่งทรัพยากรสารสนเทศขนาดใหญ่ซึ่งรวมเอาออนโทโลยีจ านวนมาก (ontologies) เข้าไว้<br />
ด้วยกัน และในการสืบค้าข้อมูลอาจต้องอ้างอิงค าจ ากัดความเดียวกันจากออนโทโลยีหลายๆ ชุด ในกรณีนี้<br />
จึงจ าเป็นที่จะต้องเข้าไปประเมินในระดับบริบท และแอพพลิเคชั่น (application) ซึ่งการประเมินจะพิจารณา<br />
จากผลกระทบที่เกิดกับโปรแกรมประยุกต์ เมื่อผู้ใช้บริการด าเนินการสืบค้นข้อมูลบนออนโทโลยีด้วย<br />
แอพพลิเคชั่นดังกล่าว<br />
5) ประเมินในระดับประโยค (Syntactic) การประเมินในระดับน้ าด้รับความสนใจจากออนโทโลยีเป็น<br />
จ านวนมาก (ontologies) โดยเฉพาะออนโทโลยีที่ได้พัฒนาโครงสร้างขึ้นด้วยตนเอง (constructed<br />
manually) โดยปกติออนโทโลยีถูกอธิบายด้วยภาษาที่เป็นทางการ และให้ประโยคที่ตรงกับหลักไวยากรณ์<br />
พื้นฐานของภาษาเหล่านั้น เกณฑ์ที่ใช้ประเมิน อาทิ การน าเสนอเอกสารด้วยภาษาธรรมชาติ การหลีกเลี่ยง<br />
การซ้ าซ้อนกัน (loops) ระหว่างค านิยาม เป็นต้น<br />
6) ประเมินในระดับโครงสร้าง (Structure) สถาปัตยกรรม (architecture) และการออกแบบ (design)<br />
เนื่องจากการพัฒนาออนโทโลยี (ontologies) ได้ถูกบังคับให้เป็นไปตามข้อก าหนดเชิงโครงสร้าง ลักษณะ<br />
สถาปัตยกรรม และมาตรฐานในการออกแบบไว้ล่วงหน้าอยู่ แล้ว การประเมินในระดับนี้จะท าให้ทราบได้ว่า<br />
ออนโทโลยีเหล่านั้นมีความเหมาะสม และรองรับการปรับปรุงในอนาคตอย่างยั่งยืน หรือไม่
หน้าที่ 28<br />
เนื้อหาเดิมที่ใช้ในส่วน “แนวทางการประเมินออนโทโลยี”<br />
เนื้อหาเดิม<br />
Sure, Y., Gomez-Perez, G.-P., Daelemans, W., Reinberger, M.-L., Guarino, N. & Noy, N. F. (2004).<br />
Ontology evaluation work on ontology content evaluation started in 1994. In the last two years,<br />
the ontological engineering community's interest in this issue has grow and extended to the<br />
evaluation of technology used to build ontologies. You can find a survey on evaluation methods<br />
and tools in Ontological Engineering. Ontology content evaluation has three main underlying ideas:<br />
(1) We should evaluate ontology content during the entire ontology life cycle.<br />
(2) Ontology development tools should support the content evaluation during the entire<br />
ontology-building process.<br />
(3) Ontology content evaluation is strongly related to the underlying of the language in<br />
which the ontology is implemented.<br />
Ontology technology evaluation's main underlying idea is that because ontology technology is<br />
maturing and should soon be ready for industry, we must evaluate and benchmark it to ensure a<br />
smooth consider several factors – including interoperability. Scalability. Navigability and Usability.
หน้าที่ 29<br />
ผลที่ได้จากการสรุปความ (Summarizing) และการถ่ายความ (Paraphrasing)<br />
Sure, Y. และคณะ (2004) กล่าวถึงจุดเริ่มต้นในการประเมินออนโทโลยีว่าอยู่ที่การประเมินเนื้อหา<br />
ในปี ค.ศ.1994 ซึ่งเป็นช่วงที่นักวิชาการกลุ่มวิศวกรรมออนโทโลยี (ontological engineering community's)<br />
ให้ความสนใจต่อปัญหาการเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็วในเนื้อหาของออนโทโลยี ซึ่งต้องการแนวทาง<br />
ประเมินเนื้อหาที่รองรับการพัฒนาและปรับปรุงออนโทโลยีจ านวนมาก (ontologies) ในอนาคต<br />
การประเมินเนื้อหาดังกล่าว สามารถสรุปได้ 3 แนวคิด คือ (1) การประเมินเนื้อหาของออนโทโลยีที่<br />
ต้องด าเนินการตลอดทั้งวงจรชีวิตของการพัฒนาออนโทโลยี (ontology life cycle) (2) เครื่องมือประเมิน<br />
เนื้อหาควรสนับสนุนการประเมินในระหว่างกระบวนการพัฒนาออนโทโลยี (ontology-building process) (3)<br />
การประเมินเนื้อหาของออนโทโลยีต้องแสดงถึงสัมมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ระหว่างกระบวนทัศน์ทางภาษา<br />
(paradigm of language) กับความเป็นตัวแทนขององค์ความรู้ (Knowledge representative)<br />
แนวคิดส าคัญ 3 ประการข้างต้น ถือเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีต้นแบบเพื่อประเมินออน<br />
โทโลยี (Ontology technology evaluation's) ส าหรับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งวิธีประเมิน (evaluate) และ<br />
เทียบเคียงสมรรถนะ (benchmark) ดังกล่าว ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมมั่นใจได้ว่าเทคโนโลยีต้นแบบที่ใช้<br />
ประเมินออนโทโลยีมีความละเมียดละไมต่อ 4 ปัจจัย ได้แก่<br />
(1) ความสามารถในการท างานร่วมกัน (Interoperability)<br />
(2) ความสามารถในการก าหนดทิศทาง (Navigability)<br />
(3) ความสามารถในการขยายตัว (Scalability) และ<br />
(4) ความสามารถในการใช้งาน (Usability)
หน้าที่ 30<br />
เนื้อหาเดิมที่ใช้ในส่วน “แนวทางการประเมินออนโทโลยี”<br />
เนื้อหาเดิม<br />
Sure, Y., Gomez-Perez, G.-P., Daelemans, W., Reinberger, M.-L., Guarino, N. & Noy, N. F. (2004).<br />
The problem of interoperability between software applications across different<br />
organizations, providing a shared understanding of common domains. Ontologies allow applications<br />
to agree on the terms that they use when communicating. Thus, ontologies, if shared among the<br />
interoperating applications, allow the exchange of data to take place not only at a syntactic level,<br />
but also at a semantic level.<br />
Scalability: Analyzing how different ontology building platforms scale when managing large<br />
ontologies with thousands of components, and the time required to open and save ontologies, to<br />
create, update, or remove ontology components, to compute simple or complex queries, and so on.<br />
Navigability: Analyzing how ontology tools allow for navigating large ontologies—how easy<br />
is it to search for a component (graphically, text based, and so on), to extend the ontology with<br />
new components, to obtain a small part of the ontology, and so on.<br />
Usability: Analyzing user interfaces’ clarity and consistency, users’ learning time, stability,<br />
help systems, and so on.
หน้าที่ 31<br />
ผลที่ได้จากการสรุปความ (Summarizing) และการถ่ายความ (Paraphrasing)<br />
เทคโนโลยีต้นแบบที่ใช้ประเมินออนโทโลยีมีความละเมียดละไมต่อปัจจัย 4 ประการ ดังนี้<br />
(1) ความสามารถในการท างานร่วมกัน (Interoperability) กล่าวคือ ปัญหาหนึ่งที่เกิดจากการใช้<br />
ออนโทโลยี คือ การให้ความหมายในโดเมนเดียวกันให้เข้าใจได้ตรงกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับการตกลงในเงื่อนไข<br />
ทางการสื่อสารระหว่างซอฟต์แวร์ การประเมิน จึงมุ่งพิจารณาการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างแอพพลิเคชั่นทั้ง<br />
ในระดับประโยค (syntactic level) และในระดับความหมาย (semantic level)<br />
(2) ความสามารถในการก าหนดทิศทาง (Navigability) วิเคราะห์จากความแตกต่างของแพลตฟอร์ม<br />
(platform) ที่น ามาใช้เป็นองค์ประกอบในการพัฒนาออนโทโลยี และประเมินระยะเวลาที่ระบบใช้ (required)<br />
ในการเปิดใช้งาน (open) บันทึกข้อมูล (save) สร้างข้อมูล (create) ปรับปรุง (update) หรือ ลบ (remove)<br />
องค์ประกอบต่างๆ (components) ของออนโทโลยี และพิจารณาการประมวลผลข้อค าถาม (queries) ด้วย<br />
(3) ความสามารถต่อการขยายตัว (Scalability) วิเคราะห์ได้จากเครื่องมือของออนโทโลยี (ontology<br />
tools) ที่ใช้ค้นหาองค์ประกอบต่างๆ ในออนโทโลยีขนาดใหญ่ เช่น ภาพกราฟิก ข้อความ ได้อย่างสะดวก<br />
และรวดเร็ว และรองรับการขยายตัวขององค์ประกอบอื่นๆ ด้วย<br />
(4) ความสะดวกในการใช้งาน (Usability) วิเคราะห์ได้จากความชัดเจนและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน<br />
ในส่วนติดต่อกับผู้ใช้ รวมไปถึงระยะเวลาที่ผู้ใช้เรียนรู้ระบบ ความเสถียรของระบบ และส่วนช่วยเหลืออื่นๆ