ANDROID APP
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
251<br />
บทที่ 10<br />
การระบุตำแหน่ง<br />
แอพสมัยนี้มีการระบุตำแหน่งที่หลากหลาย มีการนำไปรวมเข้ากับฟังก์ชั่นต่างๆ อย่างเช่น<br />
การค้นหาข้อมูล, การถ่ายรูป, เกมต่างๆ หรือแม้แต่แอพประเภทเครือข่ายทางสังคม โดยผู้พัฒนา<br />
สามารถนำเอาคุณสมบัติการทำงานนี้มาผนวกเข้ากับแอพของตัวเองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการ<br />
ทำงานได้ด้วย<br />
ในบทนี้จะว่าด้วยชุดคำสั่งที่ใช้ในการการระบุตำแหน่งของอุปกรณ์ และตรวจสอบความ<br />
เปลี่ยนแปลงของตำแหน่งปัจจุบัน รวมทั้งนำเอาพิกัดดังกล่าวไปใช้ระบุตำแหน่งบนแผนที่ด้วย<br />
ขั้นตอนพื้นฐานของการระบุตำแหน่ง<br />
การใช้ระบบการระบุตำแหน่งนั้น เราจะใช้คอมโพเน็นต์ของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ดังนี้<br />
m LocationManager – เป็นคลาสที่ใช้เข้าถึงการทำงานของการระบุตำแหน่งในอุปกรณ์<br />
แอนดรอยด์<br />
m LocationListener – เป็นอินเตอร์เฟซที่ใช้ในการรับข้อมูลจาก LocationManager<br />
เมื่อมีการเปลี่ยนตำแหน่ง<br />
m Location – เป็นคลาสที่ใช้แสดงพิกัดทางภูมิศาสตร์<br />
ในการใช้งาน LocationManager นั้น เราต้องเรียกใช้เซอร์วิสชื่อ LOCATION_SERVICE ซึ่งจะ<br />
ส่งค่ากลับเป็นตำแหน่งพิกัดของอุปกรณ์ ทำให้แอพที่ใช้เซอร์วิสนี้สามารถระบุตำแหน่งของอุปกรณ์<br />
และบอกทิศทางการเคลื่อนที่ รวมถึงกำหนดให้แจ้งเตือนเมื่ออุปกรณ์ดังกล่าวออกนอกพื้นที่ที่กำหนดไว้<br />
ได้ด้วย ตัวอย่างของการสั่งให้ LocationManager เริ่มทำงานมีดังนี้<br />
LocationManager mLocationManager;<br />
mLocationManager = (LocationManager)<br />
getSystemService(Context.LOCATION_SERVICE);<br />
หลังจากที่อินสแตนซ์ LocationManager เริ่มทำงานแล้ว เราจะต้องกำหนดเทคโนโลยีที่จะใช้<br />
ในการระบุตำแหน่ง เช่น AGPS, Wi-Fi หรือเครือข่ายโทรศัพท์ ซึ่งการเลือกใช้วิธีการระบุตำแหน่งนั้น<br />
จะส่งผลด้านความถูกต้องแม่นยำและอัตราการสิ้นเปลืองพลังงาน การทำงานประเภทนี้ให้ใช้คลาส<br />
Criteria ที่อยู่ในแพ็คเกจ android.location.Criteria ในการเลือกใช้วิธีการระบุตำแหน่งที่<br />
เหมาะสมในสถานะการใช้งานขณะนั้น ตัวอย่างของการใช้คำสั่ง Criteria มีดังนี้