à¹à¸à¸¢à¸ªà¹à¸à¸£à¸à¹à¸à¹à¸à¹à¸à¸à¸´à¸ - มหาวิà¸à¸¢à¸²à¸¥à¸±à¸¢à¸£à¸²à¸à¸ ัà¸à¸à¸£à¸°à¸à¸à¸£
à¹à¸à¸¢à¸ªà¹à¸à¸£à¸à¹à¸à¹à¸à¹à¸à¸à¸´à¸ - มหาวิà¸à¸¢à¸²à¸¥à¸±à¸¢à¸£à¸²à¸à¸ ัà¸à¸à¸£à¸°à¸à¸à¸£
à¹à¸à¸¢à¸ªà¹à¸à¸£à¸à¹à¸à¹à¸à¹à¸à¸à¸´à¸ - มหาวิà¸à¸¢à¸²à¸¥à¸±à¸¢à¸£à¸²à¸à¸ ัà¸à¸à¸£à¸°à¸à¸à¸£
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวของ<br />
บทที่ 2<br />
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ<br />
การวิจัยเรื่อง ผลของสารสกัดจากเปลือกผลทับทิมตอการลดระดับน้ําตาลในเลือดของ<br />
หนูขาวเบาหวานที่ถูกเหนี่ยวนําโดยสเตรปโตโซโตซิน ผูวิจัยไดศึกษาถึงทฤษฎีเอกสารและ<br />
งานวิจัยที่เกี่ยวของเพื่อเปนแนวทางในการทําวิจัยตามหัวขอตอไปนี้<br />
1.โรคเบาหวาน<br />
2. การเหนี่ยวนําโรคเบาหวานในสัตวทดลอง<br />
3. Streptozotocin<br />
4. Glibenclamide<br />
5. ลักษณะทางพฤกษศาสตรของทับทิม<br />
6.งานวิจัยที่เกี่ยวของ<br />
โรคเบาหวาน<br />
1. ประวัติของโรคเบาหวาน<br />
โรคเบาหวาน เปนโรคที่รูจักกันทั่วไปในวงการแพทยมาตั้งแตสมัยโบราณ Aretaeus<br />
นายแพทยชาวเยอรมัน ไดตั้งชื่อโรคนี้วา ไดอะบีตีส (Diabetes) หมายถึง การที่รางกายขับน้ําหรือ<br />
ปสสาวะออกมามากกวาปรกติ ตอมา Avicenna นายแพทยชาวอาหรับ ไดใหคําจํากัดความของ<br />
โรคนี้วาเปนโรคที่มีปสสาวะหวานเหมือนน้ําผึ้ง และมักมีอาการแทรกซอนรวมดวยอยูเสมอ ในป<br />
ค.ศ. 1650 Thomas willis นายแพทยชาวอังกฤษ ไดตรวจพบน้ําตาลในปสสาวะผูปวยที่เปน<br />
โรคเบาหวาน และไดบันทึกไววา ถาปสสาวะของผูปวยมีรสหวานเหมือนน้ําผึ้งผูปวยจะผอมลง<br />
ออนเพลีย และตายในที่สุด ในป ค.ศ. 1777 Kullen ไดเติมคําวา เมลลิตัส (Mellitus) ตอทาย<br />
ไดอะบีตีสเปน ไดอะบีตีส แมลลิตัส (Diabetes Mellitus) ซึ่งหมายความวาโรคปสสาวะมีรสหวาน<br />
เหมือนน้ําผึ้งนั่นเอง ตอมาในป ค.ศ. 1815 Chevreul นักเคมีชาวฝรั่งเศส สามารถพิสูจนไดวา<br />
น้ําตาลในปสสาวะในผูปวยเบาหวาน เปนน้ําตาลกลูโคส ป ค.ศ. 1869 Paul landerhans นักศึกษา