You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
ปราบปรามบรรดาผู้ที่ตั้งตนเป็นใหญ่ในชุมนุม<br />
ต่าง ๆ รวม ๔ ชุมนุมให้ราบคาบ เพื่อคง<br />
ความเป็นปึกแผ่นอันหนึ่งอันเดียวกันของราช<br />
อาณาจักรสยาม สำหรับการปราบปรามชุมนุม<br />
นั้นเป็นการดำเนินการกับกลุ่มคนไทยผู้มีความ<br />
เห็นต่างกันซึ่งผู้เขียนไม่ขอนำมาบรรยายใน<br />
ครั้งนี้<br />
สิ่งสำคัญที่ผู้เขียนใคร่ขอนำเสนอคือ<br />
ราชการสงครามกับข้าศึกภายหลังที่สมเด็จ<br />
พระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราชแล้ว<br />
ซึ่งจากการสืบค้นทราบว่ามีราชการศึกในการ<br />
ป้องกันราชอาณาจักรสยามกับพม่าข้าศึก รวม<br />
๙ ครั้งด้วยกัน กล่าวคือ<br />
สงครามครั้งที่ ๑ : รบพม่าที่บางกุ้ง ปลาย<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๐ พระเจ้ามังระกษัตริย์<br />
พม่า ทราบข่าวการตั้งตัวเป็นใหญ่ของสมเด็จ<br />
พระเจ้าตากสินมหาราช จึงทรงสั่งให้เจ้า<br />
เมืองทวาย คุมกำลังมาตรวจตราแผ่นดินไทย<br />
มีหน้าที่ปราบปรามผู้ที่กำเริบตั้งตนเป็นใหญ่<br />
ให้ราบคาบโดยมีการรบกันที่เมืองไทรโยค และ<br />
เมืองสมุทรสงคราม การรบครั้งนั้นฝ่ายสยาม<br />
ชนะศึก สามารถยึดเรือรบ เครื่องศัตราวุธ และ<br />
เสบียงอาหารได้เป็นจำนวนมาก<br />
สงครามครั้งที่ ๒ : พม่าตีเมืองสวรรคโลก<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๓ รบกับพม่าครั้งพม่าตีเมือง<br />
สวรรคโลก ทัพสยามสามารถตีแตกไปได้<br />
สงครามครั้งที่ ๓ : ตีเมืองเชียงใหม่ครั้งแรก<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๔ เป็นการรบกับพม่าเมื่อ<br />
ฝ่ายสยามยกกองทัพไปตีนครเชียงใหม่ (ซึ่ง<br />
พม่ายึดครองอยู่) เป็นครั้งแรก แต่ไม่สำเร็จ<br />
เนื่องจากเสบียงฝ่ายสยามไม่เพียงพอ<br />
สงครามครั้งที่ ๔ : พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ ๑<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๕ ทัพพม่ายกไปช่วยเมือง<br />
เวียงจันทน์รบกับหลวงพระบาง โดยขากลับ<br />
ผ่านเมืองพิชัย และยกเข้าตีเมืองแต่ก็ไม่สำเร็จ<br />
ปรากฏว่าฝ่ายสยามเป็นฝ่ายชนะ<br />
สงครามครั้งที่ ๕ : พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ ๒<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๖ พม่ายกมาตีเมืองพิชัย เป็น<br />
ครั้งที่ ๒ แต่พม่าตีไม่สำเร็จ และได้เกิดวีรกรรม<br />
พระยาพิชัยดาบหักขึ้น<br />
สงครามครั้งที่ ๖ : ตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ ๒<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๗ กองทัพสยามชนะสงคราม<br />
สามารถ ยึดนครเชียงใหม่คืนกลับจากพม่าได้<br />
พร้อมกับได้เมือง ลำปาง ลำพูน และน่าน กลับ<br />
คืนมาเป็นของสยาม<br />
สงครามครั้งที่ ๗ : รบพม่าที่บางแก้วเมือง<br />
ราชบุรี พุทธศักราช ๒๓๑๗ พม่ายกพลตาม<br />
พวกมอญที่หนีเข้ามาในเขตไทย จึงทรงพระ<br />
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพไปยังเมืองราชบุรี<br />
ทรงบัญชาการทัพด้วยพระองค์เองโดยตั้งค่าย<br />
ล้อมค่ายพม่าและลอบตีตัดทางลำเลียงเสบียง<br />
อาหาร จนในที่สุดข้าศึกขอยอมแพ้ ชัยชนะ<br />
ในครั้งนี้ส่งผลให้ชาวสยามที่หลบซ่อนตาม<br />
พื้นที่ต่าง ๆ เข้ามาสวามิภักดิ์เป็นจำนวนมาก<br />
เนื่องจากหมดความกลัวเกรงพม่า<br />
สงครามครั้งที่ ๘ : อะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมือง<br />
เหนือ พุทธศักราช ๒๓๑๘ นับเป็นสงคราม<br />
ครั้งใหญ่ที่สุดโดย อะแซหวุ่นกี้เป็นผู้นำที่<br />
เชี่ยวชาญศึก ในครั้งนั้น พม่ายกพลมาประมาณ<br />
๓๕,๐๐๐ คน เข้าล้อมเมืองพิษณุโลก และล้อม<br />
เมืองสุโขทัย ส่วนเมืองพิษณุโลกมีพลประมาณ<br />
๑๐,๐๐๐ คน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช<br />
ทรงยกทัพไปช่วย ในที่สุด อะแซหวุ่นกี้ต้องยก<br />
ทัพกลับ เนื่องจากพระเจ้าแผ่นดินพม่าสวรรคต<br />
กองทัพพม่าส่วนที่กลับไปไม่ทันจึงถูกกองทัพ<br />
สยามจับได้บางส่วน<br />
สงครามครั้งสุดท้าย : พม่าตีเมืองเชียงใหม่<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๙ ทัพพม่าและมอญประมาณ<br />
๖,๐๐๐ คน ยกมาตีเชียงใหม่ ในห้วงแรก<br />
เชียงใหม่ไม่มีกำลังพลพอป้องกันเมืองได้ จึง<br />
ได้อพยพลงมาอยู่ที่เมืองสวรรคโลก สมเด็จ<br />
พระเจ้าตากสินมหาราช จึงทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุรสีห์คุมกองทัพเมือง<br />
เหนือขึ้นไปสมทบกองกำลังนครลำปาง ยกไป<br />
ตีเมืองเชียงใหม่คืนสำเร็จ<br />
นอกจากนี้ ยังมีพระบรมราชโองการโปรด<br />
เกล้า ฯ ให้จัดทัพไปราชการที่เขมรและในบาง<br />
พื้นที่ ซึ่งฝ่ายสยามก็สามารถเอาชนะศึกได้เป็น<br />
ส่วนใหญ่ แต่ส่วนใหญ่มิได้เป็นราชการสงคราม<br />
เพื่อการป้องกันประเทศหรือรักษาเอกราชของ<br />
ชาติเหมือนดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น<br />
สิ่งที่ผู้เขียนใคร่ขอกล่าวถึงต่อไปนี้คือ พระ<br />
ราชนโยบายในการปรับปรุงกิจการทหารให้<br />
เข้มแข็ง ด้วยทรงกำหนดวางมาตรการทาง<br />
ทหารที่สำคัญไว้ ๓ แนวทาง ดังนี้<br />
๑. การรวบรวมแม่ทัพนายกอง โดยทรง<br />
พระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้รวบรวมผู้ที่มีความ<br />
สามารถในการรบและกิจการทหารมาร่วมกัน<br />
ต่อสู้ศึกและกอบกู้สถานการณ์ โดยทรงแต่งตั้ง<br />
ผู้มีความรู้ความสามารถเป็นแม่ทัพสนอง<br />
ราชการสงครามทั้งภายในและภายนอกราช<br />
อาณาจักรสยาม ซึ่งบุคคลสำคัญในราชการ<br />
สงครามอาทิ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก<br />
เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) พระยาพิชัย (ทองดี)<br />
หรือพระยาพิชัยดาบหัก<br />
๒. การบริหารจัดการกำลังพล โดยทรง<br />
กำหนดให้ชายฉกรรจ์ไทยทุกคนต้องเป็นทหาร<br />
และเข้ารับราชการทหารตามระยะเวลาที่<br />
กำหนด ด้วยการสำรวจกำลังพลและทำการ<br />
10<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์