You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
ขนานใหญ่ในห้วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อ<br />
รับมือกับภัยคุกคามจากการแผ่ขยายอาณาเขต<br />
ของจีนในครั้งนี้<br />
การปรับยุทธศาสตร์ประการแรกคือ การ<br />
เสริมสร้างกำลังทางเรือ เพื่อรักษาน่านน้ำ<br />
และผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล<br />
ของตนเองแทนการเสริมสร้างแสนยานุภาพ<br />
ทางบกที่ดำเนินมาเป็นเวลาช้านาน ส่วนการ<br />
ปรับยุทธศาสตร์ประการที่สองนั้น สืบเนื่อง<br />
มาจากสงครามในอิรักทั้งสองครั้งและสงคราม<br />
ในอัฟกานิสถาน ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพ<br />
ของกำลังทางอากาศ ที่มีขีดความสามารถใน<br />
การทำลายเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและเด็ด<br />
ขาด ทำให้ขนาดความใหญ่โตและจำนวนของ<br />
เรือรบไม่ใช่ปัจจัยหลักในการกำหนดชัยชนะ<br />
อีกต่อไป หากแต่เป็นเทคโนโลยีระดับสูงและ<br />
ระบบเรดาห์ที่มีความสลับซับซ้อน ซึ่งเป็นตัว<br />
ชี้นำอาวุธปล่อยนำวิถีและขีปนาวุธทั้งจากพื้น<br />
สู่พื้น พื้นสู่อากาศ อากาศสู่อากาศและอากาศ<br />
สู่พื้น ให้พุ่งเข้าทำลายเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ<br />
ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้มีการเสริม<br />
สร้างแสนยานุภาพทางอากาศควบคู่ไปกับ<br />
แสนยานุภาพทางเรือเป็นหลัก<br />
เวียดนามเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ<br />
ประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งมีการปรับเปลี ่ยน<br />
ยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศอย่างขนาน<br />
ใหญ่ โดยแต่เดิมในช่วงสงครามเย็นนั้น<br />
เวียดนามมีการเสริมสร้างแสนยานุภาพทาง<br />
บกจนมีกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ติด<br />
อันดับต้น ๆ ของโลก เนื่องจากมีภัยคุกคามทาง<br />
บกจากทิศด้านตะวันตกของประเทศ ซึ่งเป็น<br />
กลุ่มประเทศโลกเสรีที่เผชิญหน้ากับเวียดนาม<br />
มาอย่างยาวนาน แต่เมื่อสงครามเย็นยุติลง<br />
ประกอบกับการหันไปพัฒนาเศรษฐกิจของตน<br />
ตามนโยบาย "โด๋ย เหม่ย" ก็ทำให้เวียดนามว่าง<br />
เว้นจากการสร้างแสนยานุภาพมาเป็นระยะ<br />
28<br />
เวลาหนึ่ง จนกระทั่งจีนได้เคลื่อนตัวเข้ามาและ<br />
มีท่าทีที่เป็นภัยคุกคามในการครอบครองพื้นที่<br />
ต่าง ๆ ตามแนวเส้นประ ๙ เส้นดังกล่าว อัน<br />
เป็นพื ้นที่ที่เวียดนามกล่าวอ้างกรรมสิทธิเหนือ<br />
ดินแดนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน<br />
เมื่อภัยคุกคามของเวียดนามได้เปลี่ยน<br />
จากภัยคุกคามทางบกด้านตะวันตก มาเป็น<br />
ภัยคุกคามทางทะเลด้านตะวันออก โลกจึง<br />
ได้เห็นการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทางทะเล<br />
อย่างขนานใหญ่ของเวียดนาม มีการสั่งซื้อเรือ<br />
ดำน้ำพลังงานดีเซลชั้น "กิโล" (Kilo) จำนวน ๖<br />
ลำ มูลค่ากว่า ๑,๘๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก<br />
รัสเซีย เรือดำน้ำดังกล่าวนับเป็นเรือดำน้ำที่ทัน<br />
สมัยที่สุดชนิดหนึ่ง มีขีดความสามารถในการ<br />
เป็น "เพชฌฆาตเงียบใต้ท้องทะเล" ที่สามารถ<br />
ทำลายเรือผิวน้ำ เรือดำน้ำและอากาศยาน<br />
เหนือน่านฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรือดำน้ำ<br />
สองลำแรกคือเรือ "ฮานอย" และ "โฮ จิ มินห์<br />
ซิตี้" ได้มีการส่งมอบให้กับกองทัพเรือเวียดนาม<br />
ไปแล้วเมื่อปลายปี พ.ศ.๒๕๕๖ และต้นปี พ.ศ.<br />
๒๕๕๗ ตามลำดับ รวมทั้งมีกำหนดส่งมอบลำ<br />
ที่สามคือ "ไฮ ฟอง" ในปลายปีนี้ และจะส่ง<br />
มอบส่วนที่เหลือให้ครบภายในห้วงเวลา ๒ ปี<br />
ข้างหน้า โดยเรือดำน้ำทั้งหมดจะประจำการที่<br />
ฐานทัพเรืออ่าวคัมรานห์ ซึ่งทำให้มีพื้นที่ปฏิบัติ<br />
การครอบคลุมแนวเส้นประที่ ๑ – ๓<br />
สำหรับการเสริมสร้างแสนยานุภาพทาง<br />
อากาศนั้น กองทัพเวียดนามได้จัดหาเครื่องบิน<br />
ขับไล่ประสิทธิภาพสูง ๒ ที่นั่งและ ๒<br />
เครื่องยนต์แบบ ซู-๓๐ เอ็มเค ๒ เพิ่มขึ้นอีก<br />
จำนวน ๑๒ ลำจากรัสเซีย คิดเป็นมูลค่า ๖๐๐<br />
ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากเดิมที่เวียดนามเคยสั่ง<br />
ซื้อมาแล้วสองครั้งจำนวน ๒๐ ลำในปี พ.ศ.<br />
๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ซึ่งทำให้เวียดนามมีฝูงบิน<br />
ซู-๓๐ ถึง ๓ ฝูงด้วยกัน เครื่องบินที่สั่งซื้อครั้ง<br />
ล่าสุดจะมีการส่งมอบในปี พ.ศ.๒๕๕๗ และ<br />
๒๕๕๘ เครื่องบินรุ่นนี้ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถี<br />
แบบอากาศสู่พื้นเพื่อมุ่งทำลายเรือผิวน้ำเป็น<br />
หลัก โดยเวียดนามได้จัดซื้ออาวุธปล่อยนำวิถี<br />
ต่อต้านเรือแบบ เอเอส-๑๗ คริปตอน รุ่น เค<br />
เอช-๓๕เอ จากรัสเซียจำนวน ๑๐๐ ลูกและ<br />
แบบ เอเอส-๑๔ รุ่น เคเอช-๒๙ ที เพื่อนำมา<br />
ใช้กับเครื่องบินขับไล่แบบ ซู-๓๐ และซู-๒๗ ที่<br />
มีอยู่เดิมอีกด้วย<br />
สำหรับอินโดนีเซียนั้นเป็นอีกประเทศ<br />
หนึ่งที่มีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ในการ<br />
ป้องกันประเทศ โดยจากอดีตที่ผ่านมาตั้งแต่<br />
ได้รับเอกราชในปี พ.ศ.๒๔๘๘ ภัยคุกคาม<br />
ของอินโดนีเซียร้อยละ ๖๗ เป็นภัยคุกคาม<br />
ในประเทศอันเกิดจากกลุ่มศาสนาหัวรุนแรง<br />
และกลุ่มเชื้อชาติต่าง ๆ ที่พยายามแยกตัว<br />
ออกเป็นอิสระ เช่น ติมอร์ตะวันออก ปาปัว<br />
ตะวันตก อาเจะห์และอิเรียนจายา แต่เมื่อ<br />
ปัญหาเหล่านี้เบาบางลงภายหลังจากการ<br />
แยกตัวเป็นเอกราชของติมอร์ เลสเต ตลอด<br />
จนการล่มสลายของกลุ่มต่อต้านในอาเจะห์<br />
อินโดนีเซียก็ต้องเผชิญหน้ากับ "แนวเส้นประ<br />
๙ เส้น" ของจีนที่ผนวกพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ<br />
บริเวณเกาะนาทูน่าของตนเข้าไปด้วย ทำให้มี<br />
การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์หันมารับมือกับภัย<br />
คุกคามในทะเลจีนใต้ โดยมีการเสริมสร้างกำลัง<br />
ทางเรืออย่างยิ่งใหญ่ เช่น การตั้งเป้าที่จะเพิ่ม<br />
จำนวนเรือรบให้มีถึง ๒๕๐ ลำในปี พ.ศ.๒๕๖๗<br />
หรือภายในสิบปีข้างหน้า ปัจจุบันกองทัพเรือ<br />
อินโดนีเซียมีกองเรือจำนวน ๒ กองเรือคือ กอง<br />
เรือภาคตะวันออกอยู่ที่เมืองสุราบายา และ<br />
กองเรือภาคตะวันตกอยู่ที่กรุงจาการ์ต้า เมือง<br />
หลวงของอินโดนีเซีย ซึ่งอินโดนีเซียมีแผนที่จะ<br />
เพิ่มกองเรือขึ้นอีก ๓ กองเรือ โดยจะขยายกอง<br />
เรือภาคตะวันออกขึ้นอีก ๑ กองเรือ มีฐานทัพ<br />
อยู่ที่เมืองอัมบอน เมืองเมอเรากิและเมืองคูปัง<br />
ตลอดจนขยายกองเรือภาคตะวันตกเพิ่มขึ้นอีก<br />
๑ กองเรือ มีฐานทัพอยู่ที่เมืองตันจุงปีนัง เมือง<br />
นาตันและเมืองเบลาวัน รวมทั้งตั้งกองเรือภาค<br />
กลางขึ้นมาใหม่อีก ๑ กองเรือ มีฐานทัพอยู่ที่<br />
เมืองมากัสซ่าร์และเมืองเทรากัน<br />
นอกจากนี้ในปี พ.ศ.๒๕๕๕ อินโดนีเซียได้<br />
สั่งต่อเรือดำน้ำชั้น "ชาง โบโก แบบ ๒๐๙”<br />
ระวางขับน้ำ ๑,๘๐๐ ตันจากบริษัทแดวูของ<br />
เกาหลีใต้จำนวน ๓ ลำ จากเดิมที่มีประจำ<br />
การอยู่แล้ว ๒ ลำคือเรือดำน้ำชั้น "จักกรา"<br />
(Chakkra) จากประเทศเยอรมัน ซึ่งเรือดำน้ำ<br />
"ชาง โบโก" จำนวนสองลำจะต่อที่อู่ต่อเรือ<br />
ในเกาหลีใต้ โดยความร่วมมือระหว่างบริษัท<br />
แดวูและรัฐวิสาหกิจการต่อเรือของอินโดนีเซีย<br />
ส่วนเรือดำน้ำลำที่สามจะต่อในอินโดนีเซีย<br />
ล่าสุดประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ซึ่งเพิ่งเข้า<br />
รับตำแหน่งเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่าน<br />
มา ได้เปิดเผยว่าอินโดนีเซียกำลังพิจารณา<br />
พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ