ASA JOURNAL Vol.2 | 2018
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
บทน<br />
พิพิธภัณฑ์เป็นแหล่งเรียนรู้อิสระที่ทุกคนสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเองว่า อยากจะรู้เรื่องใด<br />
ในความลึกระดับใด พื้นที่ในพิพิธภัฑณ์จึงเป็นแหล่งเรียนรู ้ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู ้ที่มีความ<br />
บกพร่องทางร่างกายและสติปัญญาที่ต้องการค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง เนื่องจากบุคคลกลุ่มนี้ยัง<br />
ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาร่วมกันกับนักเรียนในโรงเรียนทั่วไป เนื้อหาที่ทางภัณฑารักษ์คัดมาเพื่อ<br />
บอกเล่าผ่านการจัดแสดงในรูปแบบต่างๆ จึงเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญสำหรับการพัฒนาตนเอง<br />
ให้มีความรู้ความสามารถในทางที่ตนเองสนใจ ความสมัครใจในการเรียนรู้นี้ จึงทำให้เกิดการเข้าชม<br />
อย่างตั้งใจและคาดหวัง ดังนั้นพิพิธภัณฑ์จำเป็นต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและการจัดแสดงเพื่อช่วย<br />
อำนวยความสะดวกและสนับสนุนการเรียนรู้ แม้ว่าจะต้องเพิ่มงบประมาณในการจัดสร้างก็ตาม<br />
การรับรู้ที่ต่างกันของคนตาบอดทั้ง 2 ประเภท เป็นปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบรวม<br />
กับปัจจัยความแตกต่างของการรับรู้ผ่านประสบการณ์ในอดีตแยกเป็น 2 ประเภท 3 ได้แก่ ผู้ที่ไม่เคย<br />
มีประสบการณ์การมองเห็นมาก่อนเลย ซึ่งแตกต่างจากผู้ที่มีประสบการณ์การรับรู้ผ่านการมองเห็น<br />
มาก่อน แยกอธิบายดังนี้<br />
1.2.1 คนตาบอดตั้งแต่แรกเกิด การรับรู้ของคนตาบอดประเภทนี้ จะใช้จินตาการจากการรับ<br />
รู้โดยโสตประสาทอื ่นๆ ประมวลร่วมกับคำบอกเล่า ไม่สามารถเข้าใจสีได้ตรงกับความเป็นจริงแต่<br />
สามารถจินตนาการสีสันได้เมื่อเทียบกับสิ่งที่รู้จัก เช่น น้ำมีสีฟ้า ความรู้สึกเย็นและความสดชื่น จึง<br />
จดจำความรู้สึกของสีฟ้าได้ คนตาบอดตั้งแต่แรกเกิด ไม่สามารถเข้าใจวัตถุ พื้นที่ และ space ที่อยู่<br />
เลยระดับเอื้อมถึง เช่น ฝ้าเพดาน หลังคา มักจะรับรู้สถาปัตยกรรมด้วยผนังหรือสิ่งบอกขอบเขตภายใน<br />
อาคาร ยากที่จะทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภายนอกและภายใน ทั้งนี้ หากมีการเรียนรู้<br />
ประกอบกับการมีประสบการณ์และเครื่องมือช่วยเหลือ คนตาบอดตั้งแต่แรกเกิด สามารถทำความ<br />
เข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ดี<br />
1.2.2. คนตาบอดภายหลัง การรับรู้ของคนตาบอดประเภทนี้ มีความแตกต่างจากคนตาบอด<br />
ประเภทแรกเป็นอย่างมาก เพราะสามารถจินตนาการต่อจากประสบการณ์เดิมที ่จดจำได้เมื่อครั้งยัง<br />
มองเห็น สามารถเข้าใจถึงสีสันได้ดี สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่อยู่เหนือศีรษะได้<br />
จากการอธิบายทางการแพทย์และการวิเคราะห์เรื่องการรับรู้ที่แตกต่างกันดังกล่าว ทำให้นัก<br />
ออกแบบการบอกเล่าเรื่องราวผ่านการจัดนิทรรศการ สามารถเลือกใช้สื่อได้กว้างขวางกว่าการใช้วัตถุ<br />
สัมผัสเพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ควรคำนึงถึงคือ คนตาบอดไม่ได้มีการรับรู้แบบเด็ก<br />
การเตรียมสื่อเพื่อการเรียนรู้นั้น ไม่ได้มีรูปแบบหรือน้ำเสียง (Tone of voice) แบบเดียวกับที่ใช้ในการ<br />
อธิบายเด็ก<br />
ตอนที่ 1. ประเภทผู้ที่มีความบกพร่องทางสายตา และลักษณะการเรียนรู้<br />
การรับรู้ส่วนใหญ่เป็นการรับรู้ด้วยสายตา คนเราพึ่งพาการมองเห็นมากที่สุด จึงไม่ได้ใช้ศักยภาพของ<br />
โสตอื่นซึ่งได้แก่ หูในการรับฟัง จมูกในการได้กลิ่น และร่างกายสัมผัส ซึ่งเป็นโสตที่คนตาบอด 1 ใช้ใน<br />
การรับรู้และทำความเข้าใจสภาพแวดล้อม คนตาบอดสามารถจดจำสถานที่ด้วยกลิ่น เสียง และมี<br />
ความจำที่แม่นยำ ผู้ที่มีความบกพร่องทางสายตามีหลายประเภท มิใช่เฉพาะคนที่มองเห็นความมืด<br />
ดำเท่านั้น นิยามทางการแพทย์ของคนตาบอด 2 หมายถึงผู้ที่มองไม่เห็น หรือ พอเห็นแสง เห็นเลือน<br />
ลาง โดยมีความสามารถในการมองเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนปกติหลังจากที่ได้รับการรักษาและแก้ไข<br />
ทางการแพทย์ หรือมีลานสายตา (ระยะกว้างของการมองเห็น) กว้างไม่เกิน 30 องศา โดยแบ่งเป็น<br />
2 ประเภท ดังนี้<br />
1.1.1 คนตาบอดสนิท หมายถึง คนที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรืออาจมองเห็นได้บ้างไม่<br />
มากนัก ไม่สามารถใช้สายตา หรือไม่มีการใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ ในการเรียน การสอน หรือทำ<br />
กิจกรรมได้ ต้องใช้ประสาทสัมผัส อื่นแทนในการเรียนรู้<br />
1.1.2 คนตาบอดไม่สนิท หรือบอดเพียงบางส่วน สายตาเลือนราง หมายถึง มีความบกพร่อง<br />
ทางสายตา สามารถมองเห็นบ้าง แต่ไม่เท่าคนปกติเช่น ต้องมองในระยะใกล้มากๆจึงจะเห็นวัตถุเห็น<br />
แสงสว่างบ้าง เป็นต้น<br />
1<br />
คาว่า “คนตาบอด” เป็นศัพท์เฉพาะที่ใช้อย่างเป็นทางการสาหรับผู้บกพร่องทางสายตาทุกประเภท<br />
2<br />
พระราชบัญญัติการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ.2534 มาตรา 4.<br />
3<br />
รายงานการศึกษาสภาพและความต้องการใช้สื่อการศึกษาของนักเรียนตาบอดระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนเรียนร่วมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล,<br />
วันที่สืบค้น 10 พฤศภาคม 2561. แหล่งที่มา www.braille-cet.in.th/Braille-new/content-files/books/_res_full.doc<br />
ตอนที่ 2. การใช้สื่อเพื่อการบอกเล่าเรื่องราวของวัตถุ<br />
“สิ่งนี้คืออะไร” เรื่องราวพื้นฐานในการทำความเข้าใจสิ่งหนึ่งว่าหน้าตารูปร่างเป็นอย่างไร ใช้<br />
งานได้อย่างไร ในบางสิ่งที่เคยรู้จักหรือเคยได้ยินมาแล้ว เช่น ช้าง คนตาบอดเคยได้ยินว่าช้างเป็นสัตว์<br />
รูปร่างใหญ่โต มีงวงและมีงา ซึ่งอาจจะเคยได้จับช้างมาแล้วบ้าง แต่เนื่องจากช้างมีขนาดใหญ่จึงอาจ<br />
ไม่สามารถเข้าใจถึงช้างทั้งตัวได้ เมื่อสัมผัสแบบจำลองช้าง สามารถจับสัมผัสช้างทั้งตัวด้วย 2 มือได้<br />
ทั่ว คนตาบอดจึงสามารถเข้าใจถึงรูปร่างของช้างที่แท้จริง รับรู้ว่างวงและงาอยู่บริเวณหน้าของช้าง<br />
ดวงตาอยู่ด้านข้างซ้ายขวา ในกรณีศึกษานิทรรศการนำสัมผัสพระสุเมรุคนตาบอดหลายคน ที่ได้เรียน<br />
รู้ประสบการณ์ใหม่ว่า สัตว์หลายชนิดมีตาอยู่ด้านข้าง มิใช่อยู่ด้านหน้าเหมือนอย่างมนุษย์เรา สิ่งนี้<br />
เป็นตัวอย่างการผูกประสบการณ์ใหม่เข้ากับประสบการณ์เดิม ได้ผลเป็นจินตนาการต่อยอดในการ<br />
ทำให้เข้าใจสิ่งที่อยู่รอบตัวมากยิ่งขึ้น<br />
นัยยะหนึ่งที่ได้จากการเฝ้าสังเกตุและสัมภาษณ์คนตาบอดในนิทรรศการนำสัมผัสพระสุเมรุ<br />
การเรียนรู้สิ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย เช่น หน้าบันของงานสถาปัตยกรรมไทย คนตาบอดจะสัมผัสไป<br />
ทั่วๆวัตถุจัดแสดง และผูกจินตนาการเป็นรูปทรงง่ายๆ อ้างอิงตามสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น “เป็น<br />
สามเหลี่ยม วัสดุเป็นไม้ มีลายนูนๆอะไรสักอย่างอยู่ตรงกลางสามเหลี่ยม ข้างๆเป็นแหลมๆเหมือน<br />
ฟัน” หากเพิ่มคำอธิบายที่สามารถผูกกับคำที่เคยได้ยิน เช่น ช่อฟ้า และนำสัมผัสบริเวณด้านบนที่เป็น<br />
ช่อฟ้า คนตาบอดจะสามารถผูกเรื่องขึ้นมาได้ว่า สิ่งที่เรียกว่าหน้าบันนี้ทำจากไม้เป็นชิ้นทรงสามเหลี่ยม<br />
มีลวดลายตรงกลาง มีช่อฟ้าอยู่บริเวณด้านบนสุด สิ่งนี้อยู่บนหลังคาโบสถ์ตามวัดต่างๆ เป็นต้น<br />
วัตถุที่ใช้เป็นสื่อ มี2 แบบคือวัตถุจริง และวัตถุที่ทำเลียบแบบขึ้นเป็นหุ่นจำลอง การสัมผัสวัตถุ<br />
โบราณจริงนั้น นอกจากจะทำให้เข้าใจเรื่องราวของวัตถุแล้ว ยังให้ความตื่นเต้น ความรู้สึกพิเศษ และ<br />
ทำให้เกิดการจดจำได้ดี โดยต้องสวมถุงมือไร้กรด ป้องกันการเสียหายที่เกิดจากเหงื่อ ในทางกลับกัน<br />
การสวมถุงมือทำให้ไม่สามารถสัมผัสถึงวัสดุและพื้นผิวได้ดังนั้นอาจจะนำวัตถุชิ้นเล็กที่ใช้วัสดุเดียวกัน<br />
ให้สัมผัสจับต้องด้วยมือเปล่า จากนั้นจึงให้ใส่ถุงมือและจับวัตถุจริง การเลื่อกวัตถุ ควรเป็นวัตถุที่มี<br />
ความแข็งแรง ติดตั้งอย่างแข็งแรงบนแท่นจัดแสดง มีขนาดพอที่จะจับได้ทั่วถึงและเดินได้รอบ<br />
29<br />
วารสารสถาปัตยกรรมของสมาคมสถาปนิกสยาม<br />
ในพระบรมราชูปถัมภ ์ Issue 02 / <strong>2018</strong><br />
The Architectural Journal of The Association of Siamese Architects<br />
under the Royal Patronage