et al. - สืà¸à¸à¹à¸ à¹à¸à¸ à¹à¸¥à¹ à¹à¸£à¸µà¸¢à¸ - à¸à¸£à¸¡à¸à¸£à¸±à¸à¸¢à¸²à¸à¸£à¸à¸£à¸à¸µ
et al. - สืà¸à¸à¹à¸ à¹à¸à¸ à¹à¸¥à¹ à¹à¸£à¸µà¸¢à¸ - à¸à¸£à¸¡à¸à¸£à¸±à¸à¸¢à¸²à¸à¸£à¸à¸£à¸à¸µ
et al. - สืà¸à¸à¹à¸ à¹à¸à¸ à¹à¸¥à¹ à¹à¸£à¸µà¸¢à¸ - à¸à¸£à¸¡à¸à¸£à¸±à¸à¸¢à¸²à¸à¸£à¸à¸£à¸à¸µ
- No tags were found...
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
บทที่5การวิเคราะห์ด้านตะกอนวิทยาและซากดึกดำบรรพ์5.1 การวิเคราะห์ด้านตะกอนวิทยาภาวะแวดล้อมการสะสมตัวของกลุ่มหินแก่งกระจานตะกอนวิทยา(Sedimentology) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับหินชั้นและกระบวนการสะสมตัวของหิน ที่ผ่านมามีการศึกษาทางตะกอนวิทยาของกลุ่มหินแก่งกระจานที่เป็นระบบกันน้อย ทั้งๆ ที่การแปลความหมายทางด้านการสะสมตัวของหินจำต้องอาศัยการศึกษาทาง Facies ของหิน จึงเป็นที่มาของความไม่ลงตัวในการแปลความหมายของผลงานที่ทำมาก่อน5.1.1 Facies ของกลุ่มหินแก่งกระจานFacies ตามพจนานุกรมศัพท์ธรณีวิทยาหมายถึงรูปร่าง สภาพ หรือลักษณะที่เด่นซึ่งแสดงให้เห็นถึงสภาวะการกำเนิด หรือส่วนประกอบจำเพาะของหินนั้นๆคำนิยาม: Diamictite ตาม Glossary ofGeology (Bates and Jackson, 1987) เป็นชื่อหินเสนอโดย Flint <strong>et</strong> <strong>al</strong>. (1960) เป็นชื่อในเชิงอธิบาย (descriptive name หรือ nongen<strong>et</strong>ic term) ที่ไม่มีความสัมพันธ์กับการกำเนิด หมายรวมถึงหินตะกอนที่ไม่มีการคัดขนาด (poorly sorted) ประกอบด้วยเม็ดตะกอนขนาดแตกต่างกันมาก เช่น หินโคลนที่มีตะกอนขนาดเม็ดกรวดขนาดใหญ่และเม็ดทรายปนอยู่ด้วย ส่วนPebbly mudstone (เสนอชื่อโดย Crowell, 1957) เป็นชื่อ descriptive name เช่นเดียวกัน หมายถึงหินโคลนปนกรวดที่ไม่มีการคัดขนาด และกรวดส่วนใหญ่มีขนาดPebble (4-64 มม.) สำหรับ pebbly sandstone เป็นชื่อdescriptive name หมายถึงหินทรายที่มีกรวดขนาดpebble ประมาณ 10-20% ส่วนคำว่า Tillite นั้นเป็นgen<strong>et</strong>ic name หมายถึงตะกอนที่เกิดจากธารน้ำแข็งเป็นชื่อที่บ่งถึงการกำเนิดจึงไม่เป็นชื่อที่นิยมใช้ตามมาตรฐานสากล ส่วนคำว่า pebbly mudstone, pebblysandstone และ pebbly rock นั้นเป็นชื่อในเชิงอธิบายได้ใช้กันอย่างแพร่หลายและเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในประเทศไทยและจีน และสอดคล้องกับลักษณะของเนื้อหินที่ปรากฏอยู่ ดังนั้นในรายงานฉบับนี้จึงใช้คำ pebblymudstone, pebbly sandstone และ pebbly rockรายงานฉบับนี้ ได้แบ่ง Lithofacies ของกลุ่มหินแก่งกระจานออกเป็น 9 facies และได้ทำการเทียบเคียงกับการแบ่งที่มีการศึกษามาก่อนด้วย โดยได้ใช้การแบ่ง Facies ของทั้ง Mitchell (1970), Grason<strong>et</strong> <strong>al</strong>.(1975), Altermann (1987) และ Hills (1989) เป็นแนวทางด้วย ดังแสดงไว้ในตารางที่ 5.1 Lithofaciesของกลุ่มหินแก่งกระจานมีดังนี้ 1) Thin bedded sandstones andmudstones facies ประกอบด้วยหินทราย เนื้อละเอียดถึงปานกลาง เป็นชั้นบาง ส่วนใหญ่แต่ละชั้นมีความหนาน้อยกว่า 10 ซม. บางชั้นอาจหนา 30 ซม. หรือมากว่า