Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
218<br />
เคลือบเมื่อมีการใชสารหลอลื่นจะใกลเคียงกัน ในสวน<br />
ทดลองที่ไมใชสารหลอลื่นจะพบวาผิวเคลือบ TiC และ<br />
TiCN มีความสามารถในการหลอลื่นสูง สวนผิวเคลือบ<br />
Hard chrome มีความสามารถในการหลอลื่นต่ํา<br />
เนื่องจากผิวเคลือบที่เตรียมไดมีความแข็งนอยมาก<br />
สําหรับผิวเคลือบ TD มีความสามารถในการหลอลื่นต่ํา<br />
เนื่องจากผิวเคลือบมีความเรียบมากจนอาจจะเกิดการยึด<br />
เหนี่ยว (Adhesion) ไดงาย สวนผิวเคลือบ TiN และ<br />
TiAIN พบวามีความสามารถในการหลอลื่นต่ํากวาการไม<br />
เคลือบผิวเล็กนอย เนื่องจากผิวเคลือบคอนขางหยาบ<br />
สวนผิวเคลือบ Nitride พบวา มีความสามารถในการ<br />
หลอลื่นใกลเคียงกับการไมเคลือบผิว<br />
NC-025 EFFECT OF SHORT-TERM<br />
TEMPERATURE CHANGES ON FORCE<br />
EXERTED BY SUPER-ELASTIC NI-TI ALLOY<br />
ORTHODONTIC CLOSED COIL SPRING<br />
กฤตติกา จินตวลากร, พีรพงศ สันติวงศ,<br />
ไพศาล ชัยวัฒน, อนรรฆ ขันธะชวนะ<br />
การประชุมวิชาการเครือขายวิศวกรรมเครื่องกลแหง<br />
ประเทศไทย ครั้งที่ 19, 19-21 ตุลาคม 2548, โรงแรม<br />
เดอะรอยัลพาราไดส, จ.ภูเก็ต, หนา 342-346<br />
Recently, Nickel Titanium (NiTi) coil<br />
springs have been used extensively in<br />
orthodontic treatment. Closed coil springs are<br />
generally used for distalization of canines,<br />
mesial movement of molar and anterior space<br />
closure. The springs are believed to exert a light<br />
constant, continuous force, which is suitable for<br />
physiologic orthodontic tooth movement, over a<br />
long range of activation. However, the<br />
temperature fluctuation in the oral environment<br />
may affect force delivery of the springs. In this<br />
study, the effect of short-term temperature<br />
change on the force delivery of NiTi close coil<br />
springs in their superelastic range was<br />
investigated. Commercially available NiTi<br />
closed coil springs were subjected to a tensile<br />
test. At the mid-point of the unloading plateau,<br />
the springs were held in a constant extension and<br />
subjected to heating cycle (from 37°C to 60°C to<br />
37°C) and cooling cycle (from 37°C to 10°C to<br />
37°C). During both procedures, the force was<br />
continually recorded. For the heating cycle, load<br />
values of all the springs examined were found to<br />
increase with rising temperatures and did not<br />
return to their original values. For the cooling<br />
KMUTT Annual Research Abstracts 2005<br />
cycle, load values of the springs decreased with<br />
dropping temperature and increased to the<br />
original value when temperature return back to<br />
37°C. These findings demonstrate that the<br />
superelastic NiTi coil springs do not provide a<br />
predictable light continuous force in the<br />
fluctuating oral temperature environment.<br />
NC-026 การศึกษาการถายเทความรอนในเครื่อง<br />
แลกเปลี่ยนความรอนแบบทอที่มีครีบโดยใช<br />
โปรแกรม CFD<br />
ภัทราพร พุฒคํา, วันชัย อัศวภูษิตกุล<br />
การประชุมวิชาการเครือขายวิศวกรรมเครื่องกลแหง<br />
ประเทศไทย ครั้งที่ 19, 19-21 ตุลาคม 2548,<br />
โรงแรมเดอะรอยัลพาราไดส, จ.ภูเก็ต, หนา 1206-<br />
1211<br />
บทความนี้นําเสนอการศึกษาการถายเทความ<br />
รอนในเครื่องแลกเปลี่ยนความรอนแบบทอที่มีครีบแบบ<br />
ลูกคลื่นดวยวิธี CFD วัตถุประสงคของการศึกษาเพื่อ<br />
ทําการศึกษาถึงผลกระทบตอการถายเทความรอนทางดาน<br />
อากาศอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบครีบที่เปนลูก<br />
คลื่น 2 แบบ ซึ่งการถายเทความรอนที่เกิดขึ้นจะพิจารณา<br />
ในเทอมของ Average heat transfer coefficient (h)<br />
โดยสัมพันธกับคาเรยโนลดนัมเบอร รวมไปถึงการ<br />
พิจารณาพฤติกรรมการไหลที่เปลี่ยนไปอันเนื่องมาจาก<br />
การเปลี่ยนแปลงรูปรางของตัวครีบ ซึ่งลักษณะของตัวครีบ<br />
ที่จะศึกษามีขอแตกตางระหวางครีบทั้งสองคือ มีรอยหยัก<br />
(Fin corrugation) ที่แตกตางกันโดยที่ครีบแบบ 1 ใน<br />
สวนบริเวณทอนั้นมีรอยหยักแบบคว่ํา และแบบที่ 2 นั้น<br />
จะมีรอยหยักแบบหงาย โดยผลที่ไดจากการจําลองแบบ<br />
ทางโปรแกรม CFD พบวาคา Average heat transfer<br />
coefficient (h) ในกรณีของครีบแบบที่ 2 นั้น จะใหผลที่<br />
ดีกวาในครีบของแบบที่ 1 ซึ่งแสดงใหเห็นวาความ<br />
สามารถของการถายเทความรอนของครีบลูกคลื่นแบบที่<br />
2 นั้นจะใหผลที่ดีกวา ในครีบลูกคลื่นแบบที่ 1 ซึ่งเมื่อ<br />
พิจารณาสาเหตุที่ครีบที่มีรูปรางที่แตกตางกันแลวใหผล<br />
ของการถายเทความรอนที่ตางกัน จะเห็นไดวาเปนผลมา<br />
จากรูปแบบการไหล (Flow pattern) ที่แตกตางกันใน<br />
ครีบลูกคลื่นแบบ 1 และ 2 โดยจะมีการเกิด wake ที่<br />
แตกตางกัน ซึ่ง wake ที่เกิดขึ้นนั้นจะเปนตัวถวงในการ<br />
ถายเทความรอน โดยครีบแบบที่ 1 นั้น จะใหผลของการ<br />
National Conference