บ้านเรือนถิ่นไทยในช่วงเจ็ดทศวรรษ 2489-2559

เงินใช้ในราชการแผ่นดินดีกว่ากำไรค้าสำเภา ...” ฉะนั้น
การปรับปรุงระบบภาษีดังกล่าวจึงเป็นการทำให้การ
ออมเงินเข้าท้องพระคลังในสมัยรัชกาลที่ 3 มีความ
สม่ำเสมอมากขึ้น
การต่างประเทศ
ในด้านการต่างประเทศนั้น พระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจับตาดูบทบาททางการเมือง
ของชาติตะวันตกด้วยความระมัดระวัง และด้วยความ
เข้าใจในศักยภาพและความได้เปรียบทางการทหารของ
ชาติตะวันตกเป็นอย่างดี ท่าทีที่แข็งกร้าวของอังกฤษใน
การทำสงครามระหว่างอังกฤษกับพม่าตั้งแต่ พ.ศ. 2367
ซึ่งอังกฤษชนะเมื่อ พ.ศ. 2369 และในที่สุดอังกฤษได้
เข้ายึดพม่าเป็นอาณานิคมใน พ.ศ. 2428 และสงคราม
ฝิ่นกับจีนซึ่งอังกฤษได้รับชัยชนะใน พ.ศ. 2385 ทำให้
เป็นที่ชัดเจนว่าดุลยภาพทางการเมืองในเอเชียและโดย
เฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เปลี่ยนไปแล้ว อำนาจ
ที่เป็นภัยคุกคามต่อไทยที่แท้จริงนับตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ 3
คือภัยจากชาติตะวันตกนั่นเอง ดังนั้นพระองค์จึงทรง
มีนโยบายด้านการต่างประเทศต่อชาติตะวันตกตั้งแต่
ต้นรัชกาลที่เป็นนโยบายประนีประนอมไม่แข็งกร้าว
Although dispatched to Bangkok as a diplomatic
representative, Dr. John Crawfurd was in fact a trained
physician who was very observant and had varied personal
interests which included Oriental languages. From his
observations, he estimated the population of Bangkok to
be around 50,000 at the time, and that Buddhism and the
ideology of righteous monarchy were very important to the
Siamese society. In his journal, he documented that “Religious
institutions have great influence on the administration of
the state. I think Siam might be the only country in the
world where religion plays a part in determining how people
live.” He also observed that social and cultural influences
were evident in the formation of the physical environment,
and that “Temples are the most exquisite buildings in the
country.” As a matter of fact, on the subject of temples,
it can be seen that during the periods of Rama I and II,
all the important temples in Bangkok were commissioned
solely by the king and royal personages.
King Nang Klao (Rama III) ascended the throne
อย่างไรก็ดีเมื่อเวลาผ่านไปก็ทรงมีความเห็นว่าการให้
ชาวตะวันตกเข้ามาทำการค้าขายในประเทศนั้นทำให้
เกิดปัญหา เนื่องจากชาวตะวันตกเข้ามาก้าวก่ายกับ
การดำเนินงานของรัฐบาลไทย ดังนั้นในตอนปลาย
รัชสมัยนโยบายต่อชาติตะวันตกจึงเปลี่ยนไป และทรงมี
ท่าทีที่ไม่เป็นมิตรและแข็งกร้าวต่อชาวตะวันตกมากขี้น
อย่างไรก็ดีชาวสยามชั้นนำที่เป็นบุคคลระดับเจ้านาย
และขุนนางที่มีความรู้และมีทัศนคติว่าควรคบค้าและ
หาประโยชน์จากการศึกษาวิทยาการที่ก้าวหน้าของ
ชาวตะวันตกก็มีอยู่ เช่น พระวชิรญาณภิกขุ (พระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า
เจ้าอยู่หัว) และจมื่นไวยวรนาถ (ช่วง บุนนาค) เป็นต้น
โดยที่เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์และจมื่นไวยวรนาถ
นั้นเป็นผู้ที่สนใจในการต่อเรือกำปั่นไฟแบบตะวันตก
ต่อมาจมื่นไวยวรนาถเป็นคนไทยคนแรกที่ต่อเรือกำปั่นไฟ
แบบฝรั่งได้สำเร็จและน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้รับพระราชทานชื่อเรือว่า
“เรือแกล้วกลางสมุทร” ส่วนเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์
นั้นทรงมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี สามารถ
in 1824 and reigned until 1851. One of his outstanding
accomplishments was increasing the state’s revenue by
changing the country’s tax policies. Tax farming system
was introduced and private tax farmers who bid the highest
price was granted permission to monopolize tax collection.
The tax reformation had the advantage of bringing in a
more consistent revenue and hence the treasury became
more stable during the reign of Rama III. In relation to this,
King Chulalongkorn (Rama V) stated several decades
later that “it generated more income for the country than
doing maritime trade”.
Foreign affairs
During his reign, Rama III cautiously observed the
moves of Western political powers and was very well
aware of the advantages and military strengths that they
possessed. Such power was demonstrated for example,
by the war that Britain waged on Burma in 1824 and won
two years later in 1826. Consequently, this eventuated in
Burma becoming colonized by the British in 1885. Apart from
that, Britain also won the Opium War with China in 1842.
148