บ้านเรือนถิ่นไทยในช่วงเจ็ดทศวรรษ 2489-2559

หมั่นเฟ้นดี สถาปนิกชาวอิตาเลียน รวมทั้งบ้านพักอาศัย
ของนายมันเฟรดี้ที่ซอยอโศก สุขุมวิท ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ
พ.ศ. 2478 ก็เป็นงานแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่เช่น
เดียวกัน ส่วนวังอัศวินนั้นน่าจะสร้างขึ้น 53 ราวปลายสมัย
รัชกาลที่ 7 หรือต้นรัชกาลที่ 8
ตำหนักใหญ่ วังอัศวิน ตั้งอยู่ที่สี่แยกตึกชัย ถนนราชวิถี
สร้างขึ้นเพื่อเป็นตำหนักที่ประทับของ พลตรี พระเจ้า
วรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภานุพันธุ์ยุคล ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่ง
ของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
อาคารมีลักษณะเป็นกล่องเรียบง่าย ผนังเรียบเกลี้ยง
ปราศจากลวดลายตกแต่ง หลังคาแบน อาคารบางส่วน
เจาะช่องเปิดเป็นช่องหน้าต่างกระจกยาวเป็นแถบตาม
แนวนอน เพื่อแสดงคุณสมบัติของโครงสร้างเสา-คาน
คอนกรีตเสริมเหล็ก ซึ่งเป็นลักษณะเด่นประการหนึ่ง
ของงานแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่
บ้านแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่เป็นบ้านที่ก่อสร้าง
ง่าย ราคาไม่แพง อยู่สบาย มีการจัดพื้นที่ใช้สอยภายใน
อาคารเพื่ออำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัย เป็นงาน
สถาปัตยกรรมไร้พรมแดน (International Style) ซึ่ง
ถูกพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 เพื่อให้
the subsequent period of Rama IX.
SUMMARY
Residential architecture in Siam from the period of
King Rama I to Rama VIII (1782 - 1946) could be looked
at under two main periods: the Early Rattanakosin Period
from Rama I to Rama III (1782 - 1851) and the Period of
Westernization from Rama IV to Rama VIII (1851 - 1946).
The Early Rattanakosin Period (Rama 1 - Rama III)
1782 - 1851
King Rama I founded the Chakri Dynasty in 1782. In
establishing Bangkok as the new capital, the Siamese rulers
still had the image of the former glory of Ayutthaya in mind
and built palaces and temples according to tradition while
houses and dwellings of the common people were also
built in the style of the central region that had developed
since the period of Ayutthaya.
At the beginning of the reign, Portugal was the first
เหมาะสมกับวิถีชีวิตของชนชั้นกลาง 54 ในสังคมทุนนิยม/
อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกลุ่มคนทำงานที่ให้ความสำคัญ
กับการมีคุณภาพชีวิตที่ดี รูปแบบการใช้ชีวิตที่มีความ
สะดวก รวดเร็ว แต่มีประสิทธิภาพในการทำงาน
ตำหนักใหญ่ วังอัศวิน จึงเป็นงานสถาปัตยกรรม
พักอาศัยที่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน
อนาคตของสังคมไทย ซึ่งได้แก่การเติบโตของทุนนิยม
การเติบโตของชนชั้นกลางซึ่งพัฒนาขึ้นมาเป็นกลุ่ม
พลังขับเคลื่อนสังคมไทยสมัยใหม่ และเป็นกลุ่มที่มี
รูปแบบการใช้ชีวิตแบบตะวันตกและอยู่บ้านแบบตะวันตก
ซึ่งเป็นลักษณะเด่นในภาพรวมของบ้านพักอาศัยใน
สมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
สรุป
สถาปัตยกรรมพักอาศัยในสยามตั้งแต่สมัยรัชกาล
ที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 8 (พ.ศ. 2325 - 2489) นั้นมีลักษณะเด่น
ที่สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ช่วงเวลา ได้แก่ สมัย
รัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่ 3 พ.ศ.
2325 - 2394) และสมัยอิทธิพลตะวันตก (รัชกาลที่ 4 -
รัชกาลที่ 8 พ.ศ. 2394 - 2489)
western nation to have sent a representative bearing
royal correspondence from Lisbon to the Siamese Court
in 1786. After the Portuguese emissary had been duly
welcomed with honor and dignity, the king then sent his
correspondence in reply to the Portuguese Court.
During the reign of King Rama II, Portugal again sent
emissaries to establish relations with Siam in 1818; and
in 1820, requested to set up a Portuguese consulate in
Bangkok. This was the first foreign consulate to be set
up in the new capital. Meanwhile, an important initiative
considered to be of significant diplomatic move by Siam
also took place in 1818 when Phraya Suriyawongse
Montri (Dis Bunnag) sent a letter written in Portuguese, to
President James Monroe of the United States expressing
that Siam was seeking to procure a certain number of
muskets. This was the first documented contact between
Siam and the United States.
With regards to architecture, projects within the
compound of the Grand Palace were assigned by the king
for his son, Prince Jessada Bodindra, to be in charge of
219